ซีเกมส์ ไทยแลนด์ 2025 ใครจะเข้าวินเป็นเจ้าภาพ

ซีเกมส์ ไทยแลนด์ 2025 ใครจะเข้าวินเป็นเจ้าภาพ

 

ครั้งสุดท้ายที่ประเทศไทยได้รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ ซีเกมส์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าต้องย้อนไปถึงปี 2007 ซึ่งในปี 2025 ที่ประเทศไทยจะกลับมาเป็นเจ้าภาพ เท่ากับว่าห่างจากครั้งล่าสุด 18 ปีเลยทีเดียว

แต่ก็เข้าใจได้เพราะว่าช่วงหลังมนตรีซีเกมส์ใช้นโยบายเวียนกันเป็นเจ้าภาพ และหลายๆ ชาติเริ่มพัฒนาขึ้นมาจนสามารถเป็นเจ้าภาพกันได้ ทำให้วงรอบของไทยมาช้าลงกว่าเดิม

แต่ปัญหาก็คือ นับจากตอนนี้ไปเหลือเวลาไม่ถึง 3 ปีแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ประเทศไทยยังเลือกไม่ได้เลยว่าจะให้จังหวัดใดรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพหลัก ที่จะต้องส่งตัวแทนไปรับธงต่อจาก ประเทศกัมพูชา ในซีเกมส์ ครั้งที่ 32 เดือนพฤษภาคมปีหน้าอีกด้วย

หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนี้โดยตรงอย่าง การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ก็ได้เริ่มกระบวนการสรรหาแล้ว ก่อนจะปิดรับสมัครไปเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งมีทั้งหมด 12 จังหวัด ที่เสนอตัวเข้ามา โดยมีทั้งการเสนอตัวแบบเป็นเจ้าภาพจังหวัดเดียว และรวมกลุ่มกันเสนอตัวมา

สำหรับจังหวัดที่เสนอตัวแบบเดี่ยวๆ มี 4 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ที่เป็นเจ้าภาพครั้งสุดท้าย ในซีเกมส์ ครั้งที่ 13 เมื่อปี 1985, เชียงใหม่ ที่เคยเป็นเจ้าภาพเมื่อซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ปี 1995, นครราชสีมา เจ้าภาพซีเกมส์หนล่าสุดของไทย ครั้งที่ 24 ปี 2007 และอีกจังหวัดก็คือ สงขลา ที่ไม่เคยเป็นเจ้าภาพซีเกมส์เลย

ขณะที่กลุ่มจังหวัดที่รวมตัวกัน มีทั้งหมด 4 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มจังหวัดภาคอีสาน ประกอบด้วยอุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ยโสธร, ศรีสะเกษ / กลุ่มอันดามัน ประกอบด้วยตรัง, กระบี่, ภูเก็ต / กลุ่ม กทม.-ชลบุรี และกลุ่ม กทม.-ชลบุรี-สงขลา

ขั้นตอนต่อไปนั้น ทาง คณะอนุกรรมการพิจารณาจังหวัดเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 จะทำการพิจารณาคัดเลือกแล้วนำเสนอต่อ คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (บอร์ด กกท.) และคณะรัฐมนตรี ในลำดับถัดไป

หลักเกณฑ์ข้อสำคัญที่ กกท.ตั้งเอาไว้เพื่อจะพิจารณาจังหวัดที่จะเป็นเจ้าภาพ ก็คือต้องเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมในทุกด้านอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสนามแข่งขัน, โรงแรมที่พัก หรือการเดินทางต่างๆ มีความสะดวกสบาย โดยเฉพาะเรื่องของสนามแข่งขัน จะต้องใช้การปรับปรุงสนามที่มีอยู่แล้ว และจะไม่มีการสร้างสนามใหม่เพื่อจะมาใช้ในการแข่งขันครั้งนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องลงทุนเม็ดเงินเป็นจำนวนมากเพื่อเป็นเจ้าภาพครั้งนี้

อีกข้อหนึ่งที่สำคัญเลย ก็คือการคัดเลือกเจ้าภาพของประเทศไทย จะไม่ทำเหมือนกับ เวียดนาม ล่าสุด ที่กระจายการแข่งขันออกไปมาถึง 12 เมืองด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้งบประมาณบานปลาย ยังมีปัญหาในเรื่องของการจัดการ การดูแลความเรียบร้อย และมีปัญหากับทุกประเทศในเรื่องการดูแลนักกีฬาอีกด้วย

ในเรื่องของการเลือกเจ้าภาพ แน่นอนว่าจะต้องมีเรื่องของการเมืองเข้ามาเอี่ยว เพราะแต่ละจังหวัดก็มีนักการเมืองในแต่ละพื้นที่คุมอยู่ อย่างเช่น กลุ่มอันดามัน ก็เป็นฐานเศรษฐกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือ กลุ่มจังหวัดภาคอีสาน เอง ก็มีฐานเสียงของพรรคภูมิใจไทยอยู่

ซึ่งการที่จังหวัดใดได้เป็นเจ้าภาพ นั่นหมายถึงว่าจังหวัดนั้นจะได้รับงบประมาณเพื่อมาพัฒนาสนามแข่งขันในจังหวัดของตัวเอง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในทางสาธารณะต่อได้

ฉะนั้น คณะอนุกรรมการที่ทำการคัดเลือก อาจจะต้องปวดหัวกับรายการคุณขอมา จากบรรดาผู้ใหญ่ต่างๆ ที่ก็อยากได้กีฬาซีเกมส์ไปลงจังหวัดตัวเองเพื่อสร้างฐานเสียง ปลุกกระแสคนในจังหวัดของตัวเองขึ้นมา

อยู่ที่สุดท้ายแล้วผู้ที่ทำการคัดเลือกจะสามารถยืนหยัดต่อสู้ได้หรือไม่

 

อย่างไรก็ตาม จังหวัดที่น่าจะลอยตัว ไม่ว่าอย่างไรก็จะได้เป็นเจ้าภาพอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าภาพหลัก หรือเจ้าภาพร่วม นั่นก็คือกรุงเทพมหานคร เพราะนี่คือจังหวัดที่มีความพร้อมในทุกๆ ด้านมากที่สุด

ทั้ง ราชมังคลากีฬาสถาน, สนามกีฬาแห่งชาติศุภชลาศัย, อาคารนิมิบุตร หรือจะเป็นศูนย์ประชุมต่างๆ ที่จัดการแข่งขันกีฬาได้ เช่น ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์, อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี เป็นต้น

แต่ข้อจำกัดของกรุงเทพฯ ก็คือเรื่องของกีฬาทางน้ำ ดังนั้น จึงต้องหาทางจับมือกับจังหวัดที่ติดชายทะเล อย่างเช่นที่จับคู่กับชลบุรี หรือสงขลา หรืออาจจะเป็น 3 จังหวัดกลุ่มอันดามัน เพื่อจะทำให้การเป็นเจ้าภาพครบสมบูรณ์ ครอบคลุมทุกชนิดกีฬาได้

ที่ผ่านมาใน ซีเกมส์ ครั้งที่ 24 ที่จังหวัดนครราชสีมา ตอนนั้นนครราชสีมาเป็นเจ้าภาพหลักก็จริง แต่ก็ยังมีกรุงเทพฯ และชลบุรี ที่ร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมด้วย หรืออย่างเร็วๆ นี้ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพกีฬา เอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ในปี 2023 ก็เป็นกรุงเทพฯ-ชลบุรี ที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ

ดังนั้น การที่ซีเกมส์ครั้งนี้จะมีเจ้าภาพมากกว่า 1 จังหวัด ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายแน่นอน

แต่ถ้าให้ดี คณะกรรมการคัดเลือกก็ควรจะต้องมีจุดยืนว่าไม่ให้การแข่งขันกระจายมากเกินกว่า 2-3 จังหวัด มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดการบริหารจัดการที่ยาก และอาจจะซ้ำรอยกับเวียดนามที่ผ่านมาได้

เพราะบางครั้งเราก็ตามใจไม่ได้ทุกคน จริงไหม? •

 

เขย่าสนาม | เด็กเก็บบอล

[email protected]