เงาปีศาจ : เปิดใจ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ บทพิสูจน์เดิมพันชีวิตค้าแข้ง “เจ-ลีก”

คอลัมน์เขย่าสนาม/เงาปีศาจ[email protected]

เหลือเวลาอีกเพียงแค่เดือนเดียว “เมสซี่เจ” “ชนาธิป สรงกระสินธ์” เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติไทยวัย 23 ปีจะเดินทางไปค้าแข้งกับสโมสรคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ในรูปแบบยืมตัวเป็นระยะเวลา 1 ปีครึ่งจากต้นสังกัด “กิเลนผยอง” “เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด”

“เมสซี่เจ” ถือเป็นนักฟุตบอลไทยที่โด่งดังที่สุดใน พ.ศ. นี้ เป็นความหวังใหม่ของวงการฟุตบอลไทยที่จะไปเขย่าวงการฟุตบอลเจ-ลีกของญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลีกที่ดีที่สุดของทวีปเอเชีย และกำลังจะเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้

ในอดีตที่ผ่านมา นักเตะไทยที่เคยผ่านเวทีเจ-ลีกของญี่ปุ่นมาพอสมควร ได้แก่ “วรวรรณ ชิตะวณิช” (แทจิน มัตสึยาม่า), “พิชัย คงศรี” (แทจิน มัตสึยาม่า), “นที ทองสุขแก้ว” (มัตสึชิตะ), “รณชัย สยมชัย” (มัตสึชิตะ), “สมชาย ทรัพย์เพิ่ม” (คอสโม่ออยล์), “พิชิตพล อุทัยกุล” (คอสโม่ออยล์), “พงศธร เทียบทอง” (คอสโม่ออยล์), “ประเสริฐ ช้างมูล” (คอสโม่ออยล์) และล่าสุดเมื่อปี 2008 “อดุล หละโสะ” (ไกนาเร่ ตอตโตริ)

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน “เมสซี่เจ” เคยได้รับโอกาสในการทดสอบฝีเท้ากับ ชิมิสึ เอสพัลส์

แต่สุดท้ายการย้ายทีมไม่เกิดขึ้น

 

“ชนาธิป สรงกระสินธ์” เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2536 ที่ตลาดสามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม เป็นบุตรชายของนายก้องภพ และนางพรสวรรค์ สรงกระสินธ์ โดยบิดาเป็นผู้สอนให้เล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบ และเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังขณะศึกษาอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนกีฬากรุงเทพมหานคร จากนั้นย้ายมาศึกษาต่อชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียนเพ็ญสมิทธิ์ จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

หลังจบชั้นประถมศึกษา ชนาธิปกลับจังหวัดนครปฐมเพื่อศึกษาต่อในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนสามพรานวิทยา และได้มีโอกาสได้เล่นฟุตบอลเดินสายกับทีม ซีแอล ไฮสปีด ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลเดินสายชื่อดังในจังหวัดนครปฐม ร่วมกับ รัชพล นาวันโน ที่ภายหลังกลายเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทยอีกคนหนึ่ง

หลังจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ชนาธิปได้ศึกษาต่อในสาขาวิชาการตลาด ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการราชดำเนิน และเล่นฟุตบอลในระดับนักเรียนให้กับสถาบันไปด้วย โดยช่วยให้พณิชยการราชดำเนินคว้าแชมป์ฟุตบอลนักเรียนกรมพลศึกษารุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ประเภท ก ได้ในเดือนมกราคม พ.ศ.2554

ด้วยสรีระที่เล็ก คล่องแคล่ว แข็งแกร่ง รวดเร็ว เบสิกฟุตบอลแน่น เอกลักษณ์การเล่นในสนามละม้ายคล้ายคลึงกับ ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะของโลกชาวอาร์เจนไตน์ของบาร์เซโลน่า จึงได้รับฉายาว่า “เมสซี่เจ”

 

เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพของ “เมสซี่เจ” เริ่มต้นเส้นทางค้าแข้งกับสโมสรบีอีซี เทโรศาสน เมื่อปี 2012 ด้วยวัยเพียง 19 ปี โดยลงสนามให้ทัพมังกรไปถึง 104 นัด และพังประตูมากถึง 41 ประตู จากนั้นเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา สโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด กระชากตัวมาร่วมทัพในสัญญายืมตัว ก่อนที่ได้เซ็นสัญญาซื้อขาดกันเป็นเรียบร้อย

ดาวเตะชาวนครปฐมรายนี้มีส่วนสำคัญในการพาพลพรรคกิเลนผยองทวงแชมป์ไทยลีกสมัยที่ 4 กลับมาสู่ถิ่นได้อีกครั้ง ซึ่งลงสนามไป 37 นัด และแม้จะยิงได้เพียง 3 ประตู แต่ก็นับว่าเป็นตัวป่วนกองหลังคู่แข่ง รวมทั้งมีการจ่ายบอลทะลุช่องที่สวยงามบ่อยครั้งจนช่วยให้เพื่อนร่วมทีมหลุดเข้าไปพังตาข่าย

ขณะที่ในเส้นทางการเล่นให้กับทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทยนั้น เจ้าเจติดทีมชาติมาตั้งรุ่นไม่เกิน 19 ปี และรุ่นไม่เกิน 23 ปี ก่อนที่ฟอร์มเข้าตา “วินนี่” “วินฟรีด เชเฟอร์” อดีตกุนซือทีมชาติไทยชาวเยอรมัน เรียกตัวมาติดทีมชาติชุดใหญ่ ชุดทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012” และยังกลายเป็นนักเตะอายุน้อยของทีมชาติไทยในทัวร์นาเมนต์ด้วยวัยแค่ 19 ปีเท่านั้น

จากนั้นโค้ชซิโก้ได้มีโอกาสขยับขึ้นมาคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่เต็มตัวในทัวร์นาเมนต์แรกคือศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ซึ่งซิโก้ได้มอบหมายให้ชนาธิปเป็นแกนหลักของทีม ก่อนที่ดาวเตะรายนี้จะกลายเป็นจอมทัพพาทีมชาติไทยเถลิงแชมป์อาเซียนได้ 2 สมัยติดต่อกัน รวมทั้งยังคว้ารางวัลนักเตะทรงคุณค่าได้ทั้ง 2 สมัยติดต่อกันเป็นคนแรกอีกด้วย

ว่ากันว่าค่าเซ็นสัญญาแบบยืมตัวในการย้ายไปร่วมทีมคอนซาโดเล่ ซัปโปโรนั้น เมืองทองได้รับมาทั้งหมด 18 ล้านบาท โดยที่ซัปโปโร จะรับผิดชอบค่าเหนื่อยแต่ละเดือนของเมสซี่เจ แทนเมืองทองฯ ด้วย

 

เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าการไปค้าแข้งเจ-ลีกของ “เมสซี่เจ” ครั้งนี้ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ในชีวิตนักฟุตบอลอาชีพซึ่งมันไม่ง่ายเลย เพราะตลอดเวลา 1 ปีครึ่งที่จะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่แดนปลาดิบมันต้องมีเรื่องของการปรับตัว ทั้งเรื่องที่อยู่ ที่กิน อากาศ การเดินทาง เพื่อนใหม่ ภาษาใหม่ ระบบการเล่นใหม่ สไตล์การเล่นใหม่ แสงสีเสียงใหม่ๆ ที่ต้องเจออยู่แล้ว วินัยในตัวเองนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ “เมสซี่เจ” เดินตามความฝันได้สำเร็จ

“เมสซี่เจ” บอกให้ฟังก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นว่า การไปเล่นที่ญี่ปุ่นเป็นความฝันของผม ตอนนี้เหมือนผมเป็นกบที่อยู่ในกะลา แต่ตอนนี้ผมเป็นกบที่ตัวใหญ่ ผมอยากออกไปท้าทาย ผมอยากออกไปเริ่มต้นใหม่ ผมรู้สึกว่าญี่ปุ่นยังมีความเหนือกว่าพวกเรา มาตรฐานเขาสูงกว่าจริงๆ อย่างที่โค้ชเฮง (วิทยา เลาหกุล) บอกว่าคือจริงๆ ฟุตบอลในไทย โค้ชบางคนซ้อมรูปแบบเดิมๆ ซ้อม 2-3 ชั่วโมง ด้วยความเป็นมืออาชีพของนักเตะไทย เราสู้เขาไม่ได้ แล้วก็ด้วยนักเตะไทยแต่ละคนความสามารถเราไม่เท่ากัน

อย่างญี่ปุ่นพอผมไปเจอ เขามีการเปลี่ยนถ่ายฟุตบอลที่เร็วมากคือ เซ็นเตอร์ของเขาสามารถสร้างเกมได้ โดยการพาบอลมาแล้วสามารถครีเอตได้ แต่ในไทย ยังหาเซ็นเตอร์ที่มีเทคนิคดียังน้อย และประตูที่มีเทคนิคที่ดีในการใช้ขายังน้อย เพราะตอนนี้ส่วนใหญ่ นักบอลเจลีก นักบอลสเปน เขาเหมือนเอานักเตะตำแหน่งที่บอกไปมาเป็นตัวเซ็ตบอลกันแล้ว ผมรู้สึกดีใจที่ผมจะได้ออกไปพิสูจน์ตัวเอง เพราะผมรู้สึกว่าตอนนี้ผมอยากเก่ง ผมยังไม่เก่ง ผมเลยอยากออกไป เพื่อพิสูจน์ให้พวกเขายอมรับในฝีเท้าคนไทยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง และถ้าผมเล่นได้ นักฟุตบอลรุ่นต่อไป รุ่นน้องๆ ก็สามารถไปเล่นได้ และถ้าเรามีนักเตะที่ไปค้าแข้งที่ต่างประเทศได้เยอะๆ มันก็เป็นผลดีต่อประเทศไทย ต่อทีมชาติไทย ผมก็เหมือนแบบหวังว่าผมต้องไปทำงานหนัก ไปก็เหมือนตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน

เราต้องไปสู้กับเขา สู้กับตัวเองในการใช้ชีวิต

 

“ชนาธิป สรงกระสินธ์” เล่าต่อไปว่า การเตรียมตัวในเรื่องของภาษานั้น ไม่มีเวลาถึงขั้นไปลงเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่ก็ได้ซื้อหนังสือสอนภาษาญี่ปุ่นมาอ่าน และก็ได้ นาโออากิ อาโอยามะ ปราการหลังเพื่อนร่วมทีมเมืองทองฯ ชาวญี่ปุ่น ช่วยติวเข้มให้

แต่ช่วงแรกที่ไปผมต้องมีล่ามไปด้วย ยอมรับว่าภาษาญี่ปุ่นยากมาก ช่วงแรกที่ไปถึงในเดือนกรกฎาคมนี้ จะพยายามปรับตัวให้ได้เร็วที่สุด และโชว์ฟอร์มให้เด่นในการลงฝึกซ้อมเพื่อหวังว่าจะได้ลงสนามเป็น 11 ตัวจริงให้เร็วที่สุด

ผมหวังที่จะพาต้นสังกัดใหม่ทำอันดับขึ้นมาจากอันดับ 15 ในปัจจุบัน มารั้งอันดับเลขตัวเดียวเมื่อจบฤดูกาลให้ได้

ลองมาฟังความเห็นของรุ่นพี่ทีมชาติไทยที่เคยไปค้าแข้งในเจ-ลีกมาก่อนอย่าง “โค้ชเฮง” “วิทยา เลาหกุล” ประธานฝ่ายเทคนิค สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ บอกว่า ความยากลำบากของการไปเล่นที่ญี่ปุ่นคือการปรับตัว ทั้งวัฒนธรรม ภาษา และสภาพอากาศ และการยอมรับในด้านฟุตบอล

ซึ่งอาจจะมีบ้างในช่วงแรกๆ ที่อาจจะยังไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมทีม

ซึ่งชนาธิปก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้โค้ชเห็นให้ได้

การทำงานในญี่ปุ่นต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม และต้องปรับเรื่องทัศนคติ

แต่ลึกๆ แล้วเชื่อว่าชนาธิปสามารถปรับตัวได้

ซึ่งการไปค้าแข้งในเลกที่ 2 ถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง เพราะจริงๆ แล้วควรไปตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลเลกแรก สไตล์การเล่น

การเดิมพันเส้นทางชีวิตนักฟุตบอลอาชีพของ “ชนาธิป สรงกระสินธ์” กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

เดอะ โชว์ มัส โก ออน…