ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 กุมภาพันธ์ 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
โรเบิร์ต มัลลิแกน เคยนำนิยายรางวัลพูลิตเซอร์ To Kill a Mockingbird ของ ฮาร์เปอร์ ลี มาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์จนประสบความสำเร็จมาแล้ว
หลายปีถัดจากนั้น ในปี ค.ศ.1991 ภาพยนตร์ฟอร์มเล็กที่มีชื่อไกลเกินเอื้อมคว้าอย่าง The Man in the Moon ก็ส่งให้ก้าวแรกของการแสดงสมัยที่ยังเป็นเด็กของ ริส วิสเธอร์สปูน ในบทน้องสาวที่ชื่อ “ดานี” เป็นที่จดจำด้วยเช่นกัน
(ใครเล่าจะเชื่อว่าเธอจะเติบโตมาอย่างก้าวกระโดดจากบทเล็กๆ ไปจนถึงบทสาวสุดเซ็กซี่และเป็นที่จับตาทันทีใน Cruel Intentions และโด่งดังเป็นนักแสดงแถวหน้าจากสาวผมบลอนด์ใน Legally Blonde จนมีภาคต่อตามออกมา และฉายภาพหญิงเก่งและแกร่งแบกเป้เดินทางเพียงลำพังในภาพยนตร์แสดงฝีมืออย่าง Wild)
สมัยนั้นผู้เขียนดูผ่านม้วนวิดีโอ และยังคงจดจำได้ดีถึงภาพท้องทุ่งเขียวขจีซึ่งอุดมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ปกคลุมอาณาบริเวณโดยรอบทั้งหมด ลึกเข้าไปจะเจอลำธารสายเล็กไม่ใหญ่นัก แต่ทว่าเมื่อใดที่แสงลอดผ่านกิ่งไม้ยามเช้า ปรากฏการณ์เล็กๆ จะบังเกิดเป็นความงามให้สายน้ำเต้นระริกไหวต้องตาต้องใจ
เฉกเช่นเดียวกับความรักเล็กๆ ที่เกิดขึ้น ณ ลำธารแห่งนี้
The Man in the Moon จึงนับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จอันน่าจดจำของ โรเบิร์ต มัลลิแกน ที่นำเสนอภาพความผูกพันเล็กๆ ซึ่งมีสายใยบางๆ ที่เชื่อมร้อยไว้ด้วยกันในครอบครัวๆ หนึ่ง
ครอบครัวอันเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก พ่อ-แม่รักกัน พี่สาว-รักน้องสาว น้องสาว-รักพี่สาว
ทุกคนต่างถักทอความรักส่งต่อถึงกันเสมอๆ
และทุกวันอาทิตย์ทุกคนในบ้านต่างพร้อมใจพากันไปโบสถ์ มีเพียงผู้เป็นพ่อเพียงคนเดียวขอตัวปลีกวิเวกไปตกปลาตามลำพัง
และเป็นอันเข้าใจของผู้เป็นแม่โดยไม่ต้องเรียกร้องใด เพราะต่างคนต่างเข้าใจในความสุขของกันและกัน
“ตอนเด็กๆ เวลาสับสนแม่มักจะให้เราพูดกับชายในดวงจันทร์”
“โมลีน” ผู้เป็นพี่สาวพูดให้ “ดานี” น้องสาวฟังถึงใครบางคนที่อยู่บนดวงจันทร์
ซึ่งในความเป็นจริงดวงจันทร์ได้แต่เป็นเจ้าของรัตติกาลและไม่เคยตอบคำถามใดแก่ผู้ถาม
โมลีนรู้ซึ้งถึงความรักที่พ่อมีให้และซาบซึ้งในความเป็นห่วงมากที่สุด อาจเพราะความสวยน่ารักของเธอ จึงเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ ทั้งหลาย
เธอจึงถูกอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดีไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
ความเป็นพี่สาวคนโตทำให้โมลีนต้องคอยเป็นหูเป็นตาแทนพ่อและแม่ (ซึ่งกำลังตั้งครรภ์) ดูแลบ้าน และดูแลน้องสาวจอมแก่นไม่ให้เถลไถลไปไหน เวลาพ่อออกไปทำงานนอกบ้าน
แต่ความซนทโมนละม้ายคล้ายเด็กผู้ชาย ดานีจึงมักแอบไปกระโดดน้ำเล่นคนเดียวอยู่บ่อยครั้ง ไม่ชอบอยู่บ้านและยุ่งเรื่องงานบ้านเท่าใดนัก เธอมีความสุขกับสายน้ำและมีฮีโร่ในดวงใจเป็น “เอลวิส เพรสลีย์” แปะเต็มฝาห้อง
บทเพลงของเอลวิสพาหัวใจดวงน้อยของเด็กกะโปโลให้เพลิดเพลินฟุ้งฝันถึงเทพบุตรสุดหล่อราวกับว่าชายผู้นั้นจะมาเป็นคู่ครองของเธอในสักวัน
ทว่าไม่นาน ทุกวันเดิมๆ ของดานีก็เปลี่ยนไป เมื่อสายน้ำที่เธอเคยแหวกว่ายอยู่เพียงลำพัง กลับต้องแบ่งเนื้อที่ให้กับผู้มาใหม่อย่างจำยอม “คอร์ท” หนุ่มหล่อหน้าใส ย้ายตามครอบครัวผู้เป็นเจ้าของผืนไร่แถบนี้มาตั้งหลักปักฐานเพื่อทำฟาร์ม
เริ่มแรกเธอรู้สึกตงิดๆ ไม่ชอบหน้าเขา แต่พอรู้ว่าคอร์ทคือลูกชายคนโตของครอบครัวแท็กเกอร์เพื่อนสนิทของครอบครัวเธอเองแล้ว มันเลยทำให้ดานี่เริ่มสนิทกับคอร์ทมากขึ้นในเวลาต่อมา
ไม่นานเด็กสาวก็เริ่มทำตัวให้ทุกคนในบ้านแปลกใจถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ด้วยการขยันทำงานบ้านต่างๆ นานาโดยมิต้องให้บอกเหมือนที่ผ่าน หรือมีอาการรังเกียจรังงอนที่จะทำแล้ววิ่งหนีไปกระโดดน้ำเล่นเหมือนทุกครั้ง
แถมเธอยังแกะโปสเตอร์เอลวิสฮีโร่ในดวงใจของเธอทิ้งอย่างไม่หลงเหลือความผูกพัน ราวกับว่าต้อนรับการมาเยือนของฮีโร่ในดวงใจคนใหม่ของเธอ
ดานีคิดเองมาตลอดว่าคอร์ทคือคนรักของเธอและรอคอยทุกครั้งที่มาเล่นน้ำด้วยกันให้ชายหนุ่มสัมผัส “จูบแรก”
แต่ฝ่ายชายเองก็ยับยั้งชั่งใจตลอดมา โดยรู้หัวใจตัวเองมาตลอดว่าไม่ได้คิดเกินเลยมากไปกว่า “น้องสาว” ที่น่าเอ็นดูคนหนึ่งเท่านั้น
คืนหนึ่งที่ดานีและคอร์ททะเลาะกัน ผู้เป็นแม่เกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาฉับพลันเลยรีบตื่นขึ้น และวิ่งออกไปนอกบ้านร้องตะโกนหาดานีๆ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ก่อนพลาดท่าสะดุดล้มทับตอไม้จนเกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา
วันนั้นด้วยความเกรี้ยวโกรธ พ่อใช้เข็มขัดฟาดดานีอย่างไม่ยั้งมือ จนโมลีนต้องตะโกนห้าม พ่อจึงได้สติและหยุดตี โชคยังดีที่ไม่ร้ายจนเกินไปนักที่ในเวลาต่อมาทราบข่าวว่าแม่ปลอดภัยและลูกในท้องไม่เป็นอะไร
เช้าวันถัดมาหลังจากไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล-ขณะนั่งอยู่ในรถสองคนกับพ่อ ดานีพูดว่า “หนูไม่โกรธที่พ่อตีหนู” พ่อเงียบไม่พูดอะไรเปิดประตูเดินลงจากรถ และเดินอ้อมมาอีกด้านเปิดประตูให้ลูกสาวแล้วอุ้มหัวใจดวงน้อยเข้าไปกอดด้วยความเสียใจถึงสิ่งที่ตนทำ
อาทิตย์และดวงจันทร์ยังคงทำหน้าที่ผลัดตบมือกันขึ้นลงอยู่ทุกค่ำเช้า เฉกเช่นเรื่องราวความสัมพันธ์ของพี่กับน้องสาวที่กำลังทำหน้าที่สลับสับเปลี่ยนกัน
เมื่อวันหนึ่งคอร์ทมีโอกาสได้พบโมลีน ราวกับว่าคำอธิฐานเนิ่นนานของเธอเป็นจริงในวันนั้น คืนที่ชายในดวงจันทร์ของเธอลงมาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป เพียงสายตาที่จ้องมองกันในครั้งแรกที่พบเจอ มันกลับทำให้หัวใจของคนทั้งสองเต้นสูบฉีดแรงขึ้น
คำปรารถนาในใจของโมลีนเป็นจริงขึ้นมาแล้วก็จริง แต่เธอต้องซุกซ่อนมันเก็บไว้ข้างในไม่แสดงออกถึงแรงปรารถนาที่ร้อนรุ่มอยู่ข้างในนั้น
เพราะโมลีนรู้ดีถึงหัวใจดวงน้อยของดานี่ว่ากำลังบอบช้ำอยู่
และแล้ววันหนึ่งดั่งสวรรค์เปิดทางให้เมื่อคอร์ทมาหา ในขณะที่ไม่มีใครอยู่บ้าน มีแต่เพียงโมลีนที่อยู่เฝ้าบ้าน (ดานีไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล)
ทั้งสองรู้ซึ้งในหัวใจของกันและกันและปรารถนากันมากมายเพียงใด มีเพียงสิ่งเดียวที่ขวางกั้นความรู้สึกของโมลีนเอาไว้ด้วยความสงสารกลัวน้องสาวจะรู้เข้า
แต่ด้วยสิ่งที่เธอรอคอยมาตลอดชีวิตนั่นคือ “ความรักจากชายในดวงจันทร์” ทั้งสองจึงไม่รั้งรออีกต่อไปที่จะดื่มด่ำความรักให้แก่กัน
ฉากต่อจากนี้จึงแลคล้ายสัญลักษณ์ (Symbol) เมื่อโมลีนและคอร์ทนอนแก้ผ้าเปลือยกายใต้สวนไม้ในรุ่งเช้าวันใหม่อย่างสุขสันต์ (ราวกับอดัมและอีฟแห่งสวนอีเดน) โดยทำตามหัวใจปรารถนา (ฝ่าฝืนกฎกินผลไม้ต้องห้าม)
เช้านั้นโมลีนวิ่งกลับบ้านอย่างมีความสุขโดยที่ดานี่มองเห็นและรับรู้อย่างเข้าใจโดยไม่ต้องมีคำอธิบายใด
ฉากถัดมาจึงถือเป็นไคลแมกซ์อันน่าสลดใจเป็นที่สุด (ความสุขเพียงข้ามคืนถูกตีกลับกลายเป็นความเศร้าสลด เสมือนพรของโมลีนสัมฤทธิผลแค่ราตรีพ้นผ่าน) หนังเน้นย้ำในฉากดังกล่าวให้เราเห็นในรูปแบบกึ่งจริงกึ่งฝัน-คอร์ทมองเห็นโมลีนวิ่งเข้ามาหาโดยสวมใส่ชุดสีขาว ขณะที่คอร์ทก็รีบกระโดดลงจากรถจักรเข้าไปหา-ทั้งสองกอดรัดกันอย่างมีความสุข ภาพตัดกลับมาเตือนสติคอร์ทว่ากำลังฝันอยู่ และมันกำลังจะกลายเป็นฝันไปตลอดกาล…
การตายของคอร์ทนำพาให้หัวใจสองดวงแตกสลายไปพร้อมกัน และตัวน้องสาวได้ตัดความสัมพันธ์กับผู้เป็นพี่สาวอย่างไร้เยื่อใยจะกลับมาคืนดีดังเดิม
“หัวใจอีกดวงหนึ่งอาจจะเจ็บยิ่งกว่า”
พ่อบอกถึงความเจ็บปวดไม่แพ้กันให้ตัวลูกสาวคนเล็กรับรู้ มันทำให้ดานีรู้สึกผิดทบทวียิ่งขึ้นที่ยังไปซ้ำเติมพี่สาวด้วยการทำเฉยชาใส่ เพราะตรงหน้าหลุมฝังศพที่ดานีเห็น มันคือความเจ็บปวดยิ่งกว่าที่เธอรู้สึกเป็นร้อยเป็นพันเท่า
ดานีมองเห็นโมลีนนอนร้องห่มร้องไห้อยู่หน้าหลุมศพของคอร์ทเหมือนอยากจะให้ตัวเองตายตามไปอีกคน
ดานีรู้สึกถึงหัวใจอันแตกสลายยิ่งกว่าของตัวพี่สาวว่ามันทรมานเหลือเกิน
หลังจากภาพนั้นหน้าหลุมศพ-สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องกลับมาหากันอีกครั้ง
ขณะเฝ้ามองดวงจันทร์ สองพี่น้องพร้อมใจโบกมือลาชายในดวงจันทร์ที่จากไป
“ต่อไปเราสองคนมาคุยกันเองดีกว่า”