ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 สิงหาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | แกมกาญจน์ ศุภวรรณ |
เผยแพร่ |
แม่คุยกับลูก (จบ)
เมื่อเช้านี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของพ่อกับแม่ เราอยู่ร่วมทุกข์และสุขกันมาได้สามสิบสามปีเต็ม
เมื่อตอนเราออกไปใส่บาตรร่วมกันเช่นที่เคยทำมาทุกปี ท่านมหาดำ พระที่มารับบาตรเราเป็นประจำทุกๆ เช้า ทักถามด้วยความเคยชินว่า วันนี้เป็นวันเกิดใครหรือ
พ่อเป็นคนตอบคำถามของท่าน
พอได้ยินคำตอบ ท่านก็ยิ้ม ให้พรว่า
“อยู่กันจนไม้เท้ายอดทองนะ คุณโยมน่ะเป็นคู่ตัวอย่างได้แล้วนะ”
หมู่นี้มีผู้ใหญ่ทักถามเราเช่นนี้หลายท่าน ซึ่งแม่ก็ได้แต่ขอน้อมรับพรเอาไว้
แม่มานึกๆ ดู ถึงเวลาที่ผ่านมาก็ออกจะเป็นเวลาที่นานมากพอดู
คู่แต่งงานแทบทุกคู่ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นเวลาสิบๆ ปีจะบอกได้ว่าชีวิตคู่นั้นไม่ได้ปูลาดไว้ด้วยกลีบกุหลาบอันหวานหอมเหมือนในนิยายที่เคยมีคนเขียนเอาไว้
การที่จะจับเอาคนต่างครอบครัวที่มีชีวิตกันคนละแบบ อยู่ในสิ่งแวดล้อมและภูมิหลังที่แตกต่างกัน ตลอดจนอุปนิสัยใจคอที่ต่างชีวิตจิตใจ มาหลอมลงในเบ้าเดียวกันนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก
การปรับตัวเข้าหากันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
บางครอบครัวอาจจะต้องใช้เวลาตลอดชีวิต เพราะปัญหาในครอบครัวเป็นสิ่งจุกจิก หยุมหยิม บางครั้งอาจจะมองไม่เห็น นึกไม่ถึง แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นจนได้
ปัญหาแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น ไม่เคยซ้ำแบบกัน
บางครั้งเหมือนกับมรสุมที่ตั้งเค้ามาแต่ไกล แต่บางครั้งแม้ไม่มีวี่แววของมรสุมมาก่อน ทะเลก็เป็นบ้าได้เหมือนกัน
ยิ่งเมื่อตอนมีลูก ปัญหาก็เพิ่มขึ้น
แต่สำหรับแม่เองแล้ว ถือว่าลูกเป็นสำคัญที่สุดในชีวิต
แม่เคยพูดอยู่เสมอว่า ครอบครัวที่มีลูกนั้นโชคดี เพราะเปรียบเสมือนมีโซ่ทองของชีวิต เอาไว้คล้องครอบครัวไว้มิให้แตกแยกกันเวลาพบกับมรสุม
ชีวิตในครอบครัว แม่คิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการประคับประคองชีวิตสมรสให้ไปได้ตลอดรอดฝั่งก็คือความอดทน และให้อภัยซึ่งกันและกัน
ไม่มีใครหรอกที่จะคิดถูกทำถูกอยู่คนเดียว แล้วก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะคิดอะไรสอดคล้องต้องใจกันไปเสียหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
มนุษย์แทบทุกคนจะมีข้อเสียอยู่ก็ตรงที่ความรักตนเอง
ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ความคิดข้อแรกก็คือ เราถูกและเขาผิด
ถ้าโทสะลดลงแล้ว ไตร่ตรองเรื่องราวใหม่อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว โปรดอย่าละอายในการที่จะกล่าวคำขอโทษ
คำคำนี้คำเดียว ไม่ว่าจะในกรณีของสามี ภรรยา เพื่อนหรือพี่น้อง ถ้าใช้คำนี้แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น การให้อภัยกันจะติดตามมา
แต่คำคำเดียวนี่แหละ เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนบางคน
เพราะความรักตัวคนนั้น พระท่านว่ามันเป็นมิจฉาทิฐิ
พระท่านถึงได้พร่ำสอนเราอยู่เสมอว่า การเอาชนะใครนั้นไม่ยากเท่ากับเอาชนะตัวเอง ใครเอาชนะตัวเองได้นั้น ท่านสรรเสริญจ้ะ
ปีนี้แม่มารู้สึกว่าแก่ลงไปมาก ความคิดความอ่านมันเชื่องช้าลงไป พูดคุยกันบางครั้งหน่ายังบ่นว่าเดี๋ยวนี้สมองแม่ช้าลงไป ชักตามเรื่องไม่ใคร่จะทันเสียแล้ว
ก็จะมีอะไรเสียอีกล่ะ นอกจากเป็นเรื่องความเสื่อมทางสังขาร
แล้วคนแก่อย่างแม่ ก็มักจะคิดไปถึงเรื่องเก่าๆ ในอดีต เป็นต้นว่านึกย้อนไปถึงสมัยเมื่อยังเป็นเด็กอยู่ว่าเคยสุขมาอย่างไรในอดีต
ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าพระท่านสอนไว้ว่าไม่ให้ไปติดอยู่กับอดีต แต่ให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด นั่นก็คือให้มีสติรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
แต่ที่แม่คุยมาทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าหน่านั้นชอบฟังเรื่องเก่าๆ มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
เมื่อหน่าเป็นเด็ก เวลาผู้ใหญ่นั่งล้อมวงคุยกัน หน่ามักจะนอนคว่ำ เขยิบเข้ามาใกล้ๆ วงสนทนา แล้วก็ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างมีความสุข
ลูกคงยังจำได้ว่า เมื่อวันที่เราย้ายออกจากบ้านซอยอารีย์เพื่อจะมาอยู่ที่บ้านกล้วยนั้น หน่าอายุได้สัก 5-6 ขวบ
แม่จำได้ว่าหน่าเป็นทุกข์มากที่สุดเท่าที่เด็กอายุขนาดนั้นจะเป็นอย่างนี้
หน่าไม่ชอบการจาก
ส่วนยุ้ยนั้นยังเด็กเกินไปที่จะทุกข์โศก
แล้วที่สุดเราก็มา และมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่บ้านหลังนี้นานถึง 27 ปี
มาปัจจุบันนี้ เราก็กำลังจะต้องย้ายบ้านอีกครั้งหนึ่งแล้ว
คราวนี้คงจะเป็นการย้ายบ้านครั้งสุดท้าย สำหรับพ่อและแม่
เพราะพ่อและแม่นั้นคงจะแก่เกินไปสำหรับการย้ายครั้งไหนๆ อีก
การย้ายครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้วเพราะลูกๆ โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ยอมรับสภาพของการเปลี่ยนแปลงได้
และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ลูกๆ ดูเหมือนจะได้ทุกสิ่งตามที่ตนต้องการ
แต่ลูกก็ต้องไม่ลืมว่า คนเรา ใช่ว่าจะได้สิ่งที่ตนต้องการทุกครั้งไป บางครั้งเราได้สิ่งที่สมหวัง ก็ต้องทำใจไว้สำหรับพบกับความผิดหวังบ้าง
การ “พบ” กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ต้องเตรียมใจไว้สำหรับการ “จาก”
ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าแม่จะสอนให้ลูกๆ มองโลกในแง่ร้าย
แม่อยากให้ลูกๆ ยังคงรักษาดอกไม้ในหัวใจของลูกให้บานอยู่ตลอดไป
รักษาเชื้อความดีงามในหัวใจของลูกไว้ เปิดหัวใจให้กว้าง มองโลกให้กว้าง พร้อมที่จะให้อภัยคนอื่นอยู่เสมอ
ความอ่อนโยนในหัวใจของเราเท่านั้นที่จะชำระความขุ่นข้องหมองใจ ความบาดหมางใดๆ ที่จะมีระหว่างตัวเราและคนรอบๆ ข้างได้
แม่มีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอคุยกับลูกเป็นเรื่องสุดท้าย
เรื่องนี้เป็นความลับของแม่นิดหน่อยจ้ะ
คือแม่จำต้องสารภาพอะไรกับลูกบางอย่างว่า เดิมทีเดียวนั้นแม่ตั้งคำถามตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าความตายนั้นมันเป็นอย่างไร แล้วเวลาตายแล้วแม่จะไปอยู่ที่ไหน
ในนาทีสุดท้ายที่เราทุกคนจะต้องผจญด้วยตัวของตัวเองแต่ลำพังผู้เดียวนั้นมันออกจะน่ากลัวอยู่แล้ว ก็คงไม่มีใครกลับมาให้คำตอบแก่แม่ได้
แต่หลังจากที่ได้ปฏิบัติธรรมมาสิบกว่าปีนี้ แม่คิดว่าได้รับคำตอบอันนี้แล้ว และแม่ก็ไม่ได้กลัวความตายอีกต่อไป
ดังนั้น ถ้าหลังจากที่แม่ตายไปแล้ว…และเชื่อว่าถ้าลูกต้องการคำตอบข้อนั้นบ้าง แม่ก็คิดว่ามันคงไม่ยากที่จะค้นพบ
อ้อ! แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง
หลังจากที่คุณตาคุณยายของลูกสิ้นชีวิตไปเมื่อหลายสิบปีมาแล้วนั้น เดิมแม่ต้องสารภาพว่าแม่เศร้าโศกเสียใจมากเป็นที่สุด
แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปหลายสิบปี ความเศร้าโศกได้จางไปตามกาลเวลา แม่ได้รู้สึกว่าคุณตาคุณยายนั้นไม่ได้ตายไปไหนเลย
ไม่ว่าแม่จะทำอะไรถูกหรือผิด แสดงกิริยาวาจาอะไรออกไปน่าดูหรือไม่น่าดูนั้น ย่อมอยู่ในสายตาของท่านทั้งสิ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่อะไรเลย เป็นเพราะท่านอยู่ในหัวใจของแม่ตลอดเวลานั่นเอง
เพราะฉะนั้น แม่จึงได้แต่หวังว่า
วันหนึ่งเมื่อถึงเวลานั้นของแม่บ้าง
ลูกคงจะพอมีที่เก็บมุมเล็กๆ ในหัวใจของลูกไว้ให้แม่บ้าง…ก็เท่านั้นเอง
รักลูกสุดหัวใจ
จากแม่