เผยแพร่ |
---|
พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำ และเป็นผู้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไว้วางพระราชหฤทัย จนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ ก่อนที่จะออกมาดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมตำรวจ
เขียนไว้ในหนังสือ “รอยพระยุคลบาท บันทึกความทรงจำของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร” ถึงเรื่องราวของ “หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต” (พระยศในขณะนั้น ต่อมาหลังจากสิ้นพระชนม์แล้ว ทรงพระกรุณาสถาปนา เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต) ในหนังสือเล่มนี้ พล.ต.อ.วสิษฐ ใช้ถ้อยคำเรียกว่า “ท่านหญิงวิภาฯ” ซึ่งได้มีโอกาสตามเสด็จถวายความปลอดภัยแด่ท่านหญิงวิภาฯ ด้วย
ตอนหนึ่ง พล.ต.อ.วสิษฐ เล่าว่า ในเช้าวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2520 ขณะที่เสด็จไปทรงเยี่ยมประชาชนและเจ้าหน้าที่ดังที่ได้ทรงปฏิบัติมาเป็นเวลาแรมปี และเฮลิคอปเตอร์ของกรมตำรวจที่ประทับกำลังบินอยู่ในเขตอำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานว่า ข้างล่างมีการปะทะต่อสู้กันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ก่อการร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนสองนายต้องกับระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัส
ขณะนั้นในเครื่องบินนอกจากผู้ตามเสด็จอื่นๆ แล้ว ก็มีพระมหาวีระและครูบาธรรมไชยโดยเสด็จอยู่ด้วย ท่านหญิงจึงรับสั่งให้นักบินนำพระภิกษุทั้งสองรูปไปส่งและให้คอยอยู่ที่วัดบ้านส้อง ส่วนพระองค์เองเสด็จไปกับเฮลิคอปเตอร์เพื่อรับผู้ได้รับบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาล
ขณะที่กำลังร่อนลงนั้นเอง ผู้ก่อการร้ายได้ระดมยิงเครื่องบินอย่างหนาแน่น กระสุนปืนทะลุเฮลิคอปเตอร์เข้าไป นัดหนึ่งถูกท่านหญิงเป็นแผลฉกรรจ์ เฮลิคอปเตอร์ชำรุด บินต่อไปไม่ได้ นักบินต้องนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินที่สนามหน้าโรงเรียนวัดบ้านส้อง
ระหว่างทางขณะที่เฮลิคอปเตอร์อีกเครื่องหนึ่งกำลังเชิญเสด็จท่านหญิงไปยังโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีนั้นเอง ท่านหญิงก็สิ้นพระชนม์
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ก่อนสิ้นพระชนม์ ท่านหญิงทรงมีพระสติ ตรัสขอให้พระมหาวีระและครูบาธรรมไชยกราบถวายบังคมลาพระเจ้าอยูาหัวแทน ทรง “ขอพระนิพพาน” และตรัสเป็นประโยคสุดท้ายว่า ทรงเห็นนิพพานแล้ว พระนิพพานที่ท่านหญิงทอดพระเนตรเห็นนั้น สวย งดงาม และ “แจ่มใสเหลือเกิน”
แล้วเมืองไทยก็สิ้นเจ้านายพระราชวงศ์จักรีที่ทรงรักคนไทยและเมืองไทยยิ่งกว่าพระองค์เองไปอีกองค์หนึ่ง
ขณะที่ท่านหญิงต้องกระสุนปืนสิ้นพระชนม์นั้น ผมกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ที่เชียงใหม่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทูลกระหม่อมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จไปทรงรับพระศพของท่านหญิงที่ท่าอากาศยาน ในตอนเย็นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520 อันเป็นวันสิ้นพระชนม์นั่นเอง ผมได้ตามเสด็จทูลกระหม่อมไปด้วย
รุ่งขึ้น วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2520 พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ จึงเสด็จนจากเชียงใหม่กลับไปยังกรุงเทพมหานคร เพื่อทรงบำเพ็ญ พระราชกุศลพระราชทานพระศพท่านผู้หญิงที่พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตร
วันนั้นผมได้มีโอกาสเห็นท่านหญิงเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเข้าไปถวายน้ำสรงพระศพก่อนหน้านั้นเคยเห็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่น้อยครั้งที่ผมเสียน้ำตาให้แก่ผู้ตาย วันนั้นผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ และต้องร้องไห้ออกมาทั้งๆที่รู้ว่ากำลังอยู่หน้าที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ
พวงมาลาดอกไม้สดของพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงวางไว้หน้าพระศพของท่านหญิงนั้น มีข้อความตอนหนึ่ง จากเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” จารึกไว้ดังนี้
“จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา”
ส่วนพวงมาลาพระราชทานของสมเด็จฯ มีคำไว้อาลัยปรากฏดังนี้
“ทิวาวารผ่านมาเยือนหล้าโลก
พร้อมความโศกสลดให้ฤทัยหาย
อริราชพิฆาตร่างท่านวางวาย
แสนเสียดายชีพกล้าวิภาวดี”
งานพระราชทานเพลิงพระศพท่านหญิงมีขึ้น ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2520
ในวันนั้นได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาท่านผู้หญิงเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต และ พระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ กับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกชั้นที่1 ประถมาภรณ์ช้างเผือกแก่ท่านหญิงด้วย