เรื่องลึกในโหราศาสตร์ไทยชุด “คลังโหร” จุด “เสื่อม” จุด “เสริม” ของดวงดาว

ก็เพราะไอ้จุดเสื่อมประการที่สามนี่แหละครับ ตัวดีนัก มันจะปรับสภาพของการให้ผลของดาวไปอย่างที่เราคิดไม่ถึงเลย

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ดาวที่ได้รับจุดเสื่อมประการที่สามนี้ ถ้าอยู่ในดวงกำเนิดดี (คืออยู่ในราศีและภพที่ดี) เวลาให้คุณก็อาจจะให้คุณได้บ้าง แต่จะไม่มากนัก แต่ถ้าให้โทษก็จะให้โทษที่รุนแรงทีเดียว

ถ้าดาวเหล่านี้อยู่ในดวงกำเนิดที่เสีย เวลาจรมาให้คุณก็จะไม่ให้คุณเลย แต่ถ้าให้โทษก็แน่ละ, มันจะให้อย่างจั๋งหนับเลย เรียกว่าให้อย่างทวีคูณหรือดับเบิลเลยก็ได้

ythdfjfgtj

เช่น ในดวงชาตามีดาวพุธกำเนิดลอยอยู่ในราศีเมษ 15 องศา ซึ่งอยู่ในตรียางค์และนวางค์อาทิตย์ และดวงนั้นมีลัคนาสถิตที่ราศีกรกฎ ทำให้ดาวพุธซึ่งทำหน้าที่กดุมพะและลาภะนั้นสถิตอยู่ในภพศุภะด้วย

มองดูอย่างธรรมดาก็ต้องเห็นว่าดาวพุธนั้นเป็นดาวที่ให้คุณแก่ดวงชาตาใช่ไหมครับ เราไปรู้เมื่อไหร่ล่ะว่าดาวพุธนั้นสถิตอยู่ในตรียางค์อาทิตย์ซึ่งทำให้พุธนั้นซวยไป พอดาวพุธลอยเข้ามาทับลัคน์เราก็ทายเปรี้ยงไปเลยว่า เจ้าชาตาจะต้องมีลาภผลอะไรซักอย่างแน่นอนในระยะนั้น

ก็ทั้งกดุมพะลาภะซึ่งมีศุภะหนุนอยู่มากุมลัคน์ยังงี้จะทายเสียได้ยังไง

แต่ผลของมันเป็นยังไงรู้ไหมครับ?

เมื่อดาวที่ครองตรียางค์อาทิตย์อยู่เข้ามาทับลัคน์ นั่นคือนำเอาความร้อนเข้ามาทับลัคน์ด้วย ความร้อนที่ว่านั้นจะให้โทษอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับดาวอาทิตย์ในดวงชาตาของเจ้าชาตานั้นๆ เองว่าทำหน้าที่อะไรในดวงนั้นอยู่

การให้โทษก็จะให้โทษไปตามหน้าที่นั้นๆ แหละ เช่น สมมติว่าดวงชาตานั้นเป็นดังนี้ :-

yjtjrtju

จะเห็นว่าในดวงชาตาสมมติดวงนี้มีดาวอาทิตย์สถิตที่ราศีพฤษภ ได้มาตรฐานอุจจาภิมุขกุมดาวศุกร์คู่สมพล จัดว่าเป็นพระอาทิตย์ที่มีความเข้มแข็งไม่น้อย

ดาวอาทิตย์นี้ทำหน้าที่เป็นตนุลัคน์ คือตัวเอง และไปครองอยู่ที่ภพกัมมะของลัคนา จึงต้องมีพันธะที่เกี่ยวกับ “กัมมะ” ติดตัวอยู่ด้วย

ส่วนดาวพุธนั้นสถิตที่ราศีเมษ ครองตรียางค์อาทิตย์อยู่ และมีดาวอังคารเกษตรเจ้าเรือนและดาวมฤตยูจอมอาเพศกุมอยู่ด้วย ดาวพุธครองอยู่ในภพศุภะ จึงต้องมีพันธะที่เกี่ยวกับศุภะอยู่ในตัว การโคจรเข้ามาทับลัคนา

หมายถึงดาวพุธได้นำเอาสิ่งเหล่านี้เข้ามากระทบกับลัคนาหรือชาตาชีวิตของเจ้าชาตาเองด้วย

ซึ่งน่าจะอ่านได้ว่า ในขณะนั้นเจ้าชาตาน่าจะเกิดความรุ่งเรืองของชีวิตในทางใดทางหนึ่ง เพราะดาวอังคารเจ้าเรือนศุภะนั้นก็กุมดาวพุธอยู่ก่อนแล้ว

แต่–

การที่ดาวพุธครองตรียางค์อาทิตย์ซึ่งถือว่าเป็นจุด “เสื่อม” อยู่ก่อนนี่เองที่ทำให้ผลของชาตาที่เกิดขึ้นเปลี่ยนไป

ความเสื่อมแห่งตรียางค์นั้นได้ทำให้เจ้าชาตาเกิดความขัดแย้งกับหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทการค้าของเขาอย่างรุนแรง จนถึงขั้นที่ตกลงกันไม่ได้ และทำให้เกิดความแตกหักในระดับที่ต้องแยกทางกันไปเลย

ทำให้บริษัทการค้าของเจ้าชาตาต้องถึงกับมีปัญหาขั้นจะล้มหรือไม่ล้มกันทีเดียว

แต่ในเสียก็ยังมีดี นั่นก็คือหลังจากมีความขัดแย้งที่รุนแรงเกิดขึ้นแล้ว เจ้าชาตาได้วิ่งเต้นติดต่อกับผู้ใหญ่จนที่สุดก็สามารถที่จะกอบกู้บริษัทขึ้นมาได้อีก โดยได้รับความร่วมมืออนุเคราะห์จากผู้ใหญ่ให้ได้งานที่มีรายได้ดีมาทำ

ทำให้บริษัทดำรงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจนเป็นปกติได้ในที่สุด

ดูซีครับ ดาวซึ่งอยู่ในภพที่ดี ทำหน้าที่ดี แต่ซ่อนเอาความร้ายไว้อย่างแนบเนียนเช่นนี้ทำให้หมอดูหน้าแตกกันมาหลายคนแล้ว

ดูกันอย่างธรรมดาก็น่าจะต้องพยากรณ์ว่าเจ้าชาตาจะได้รับสิ่งที่ดี แต่การณ์กลับเป็นร้ายไปเสียนี่

เหตุหน้าแตกอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ถ้าหมอดูคือตัวเราตรวจตราเสียแต่แรกว่า ดาวพุธดวงนี้สถิตอยู่ที่ราศีไหน ครองนวางค์ตรียางค์อะไร

ถ้ารู้เสียแต่ต้น ก็พอจะมองเห็นอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าชาตาได้

เพราะได้มองเห็นจุด “เสื่อม” ของดาวเสียก่อนแล้วนั่นเอง

จำไว้นะครับ ตรียางค์อาทิตย์จะให้ผลที่รุนแรงมากกว่าตรียางค์เสาร์ และตรียางค์อังคารให้ผลน้อยที่สุด หรืออาจจะไม่ให้เลยก็ได้ถ้าดาวอังคารในดวงชาตานั้นอยู่ในภพหรือราศีที่เข้มแข็ง

แต่ถ้าในดวงชาตาเดิมนั้นดาวอังคารเสื่อม เช่น เป็นนิจเป็นประอยู่ก่อน ก็จะมีผลเสียกับดวงชาตาในยามที่ดาวซึ่งครองตรียางค์อังคารอยู่เข้ามาทับลัคนา (หรือส่งกระแสมาถึงลัคนา)

จากตัวอย่างที่ผมยกมาให้ดูนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าดาวที่เข้าไปครองตรียางค์เสื่อมนั้นให้โทษประการใด

แต่ดาวที่ได้รับจุดเสื่อมดังกล่าวมานี้ ถ้าอยู่ในดวงกำเนิดที่ดี เมื่อถึงวาระให้คุณ (เช่นในตัวอย่าง) ก็จะให้คุณได้บ้าง แต่มักจะมีโทษนำมาก่อน หรือให้คุณหลังการมีโทษ แต่ถ้าดวงเดิมไม่ช่วย ยามให้โทษก็จะให้โทษร้ายแรงไม่น้อยทีเดียว

ทีนี้ ผมจะว่าถึงดาวที่ได้รับ “จุดเสริม” มั่งละ

ดาวที่ได้รับจุด “เสริม” ก็คือดาวที่อยู่ในสภาพตรงข้ามกับดาวที่เป็นจุดเสื่อมนั่นเอง คือดาวที่สถิตอยู่ใน “ศุภสถานะภพ” เช่น กดุมพะ, ปุตตะ, ศุภะ, ลาภะ เป็นต้น เป็นดาวที่เดินปกติและสถิตในตรียางค์ศุภเคราะห์ ยิ่งได้มาตรฐานเด่นก็ยิ่งเสริมให้ดาวนั้นทรงพลังยิ่งขึ้น

พูดมายังงี้ คุณบางคนอาจแย้งขึ้นมาว่า ก็ในดวงตัวอย่างที่ยกมาให้ดูน่ะ ดาวพุธสถิตอยู่ในภพศุภะดีเยี่ยมออกยังงั้น แล้วทำไมถึงไม่ให้คุณล่ะ กลับให้โทษจนบริษัทแทบพังไปนั่นน่ะ?

แหม-แย้งมาน่าฟังครับ นี่ก็เป็นตัวอย่างให้คุณได้เห็นอีกอย่างหนึ่งว่า มันเป็นลักษณะของดาวที่ให้ผลทั้งดีและเสียไงครับ คือในตัวดาวพุธ (ของดวงตัวอย่างดวงนี้)นั้นมีทั้งคุณและโทษอยู่ในตัว คือมีทั้งจุด “เสื่อม” (ที่ครองตรียางค์อาทิตย์) และจุด “เสริม” ที่สถิตภพศุภะ จึงแสดง “พลัง” ของตัวเองออกมาทั้งสองอย่าง แต่ก็อย่างที่บอกแล้ว ตามธรรมชาตินั้นคุณมักมาทีหลังโทษ มันจะแสดงโทษออกมาก่อนแล้วจึงแสดงคุณต่อภายหลัง แต่สมมติว่ามันเกิดแสดงคุณขึ้นมาก่อน มันก็ย่อมแสดงโทษต่อภายหลังอีกเช่นกัน ถ้ามันเป็นอย่างนั้น คุณคิดว่ามันจะดีกับชีวิตไหมล่ะครับ?

เช่น มันให้คุณก่อน คือทำให้บริษัทประสบความเจริญรุ่งเรืองใหญ่โตขึ้นมาอย่างน่าชื่นชม แต่แล้วก็ให้โทษสร้างความขัดแย้งกันจนบริษัทต้องถึงกับ “พับฐาน” ไปในภายหลัง (ซึ่งไม่มี “คุณ” จะให้อีกแล้ว) แบบนี้เจ้าชาตาจะมีครรลองชีวิตเป็นอย่างไรคุณพอจะคาดเดาได้ไหมล่ะครับ?

เห็นจะพอเข้าใจกันได้แล้วนะครับ ก็เป็นอันรู้กันว่า ดาวที่ได้รับจุดเสริมนี้ถ้าโคจรมาให้คุณ ก็จะให้คุณสูง แต่ถ้าจรมาให้โทษก็จะให้โทษต่ำหรือไม่ให้โทษเลยก็ได้

ในเรื่อง “จุดเสื่อมจุดเสริมของดาว” นี้ ส่วนใหญ่แล้วโหรเราจะใช้เป็นเครื่องประกอบการพยากรณ์ในระดับที่ต้องใช้ความละเอียดสูง

ถ้าดูกันอย่างธรรมดาก็มักจะไม่มีใครมาตรวจกันหรอกครับว่า ดาวแต่ละดวงนั้นสถิตในนวางค์ตรียางค์ของใครกันมั่ง จนกว่าจะเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นนั่นแหละถึงจะมาตรวจมาเช็กกันซะทีว่ามันเป็นเพราะอะไร

แล้วก็ร้องอ๋อเมื่อเห็นดาวสถิตตรียางค์เสื่อม

ยิ่งประเภทดู “ดวงอีแปะ” ด้วยแล้ว ไม่มีใครมาตรวจดูความเสื่อมความเสริมกันหรอกครับ แม้แต่ตัวผมเองก็ยังยอมรับเลยว่า ดูดวงอีแปะไม่เคยตรวจเหมือนกัน

อย่าว่าแต่ดวงอีแปะเลย ขนาดดูดวงโดยมีเวลาให้มากกว่านี้ก็ยังไม่เคยตรวจเลยครับ เว้นแต่ว่าจะดูดวงชาตาที่เขาบอกมาว่าเดือดร้อนอยู่มาก และเรื่องนั้นมีความสำคัญในระดับที่ต้องตรวจกันอย่างละเอียด นั่นแหละครับผมถึงจะมาตรวจดูดาวสถิตนวางค์ตรียางค์กันให้ละเอียด

เพราะไม่งั้นมันอาจจะพลาดได้

ดังนั้น การที่คุณๆ หรือหมอดูทั้งหลายไม่ค่อยมีใครตรวจดูจุดเสริมจุดเสื่อมกันนี่ ผมไม่ว่ากันหรอกครับ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าไม่มีเวลาที่จะไปตรวจมัน เพราะการตรวจนี้มันเสียเวลาไม่น้อยเหมือนกันนี่ครับ

อย่างไรก็ตาม อาจมีบางคนบอกว่า ก็ถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้วผมเอาเรื่องนี้มาเสนอให้คุณๆ กันทำไม เพราะดูเหมือนจะมันไม่สำคัญเท่าไหร่นักนี่?

อย่านะครับ อย่าคิดว่าเรื่องที่ผมนำมาให้คุณๆ รู้กันนี่ไม่สำคัญนะครับ ที่ผมว่าหมอดูส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ตรวจกันนี่น่ะ ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่สำคัญ แต่เป็นเพราะมันเสียเวลาตะหากล่ะ

จริงอยู่ การให้คุณให้โทษของดาวน่ะ มันก็มีลักษณะเฉพาะตัวของมันอยู่แล้วว่าช่วงไหนให้คุณช่วงไหนให้โทษ

แต่จุดเสื่อมจุดเสริมที่ว่านี่มันเป็นจุดแฝงนะครับ

มันซ่อนตัวอยู่โดยที่เรานึกไม่ถึง และจุดที่มันทำความเสียหายให้แก่เจ้าชาตาก็ต้องเป็นจุดเสื่อมอย่างแน่นอนละ การไม่ดูจุดเสริมนั้นไม่เป็นไร เพราะถ้ามันเกิดเรื่องดีขึ้นโดยที่โหรหรือหมอดูไม่ได้บอกเจ้าชาตาเลยก็ไม่ทำให้เจ้าชาตาโกรธเคืองหรอก เพราะเขาไม่เสียหาย แต่ถ้าเรารู้ถึงวิธีที่จะดูหรือพยากรณ์ให้เขาได้ถึงจุดเสื่อมที่จะมาถึงเขา

ความรู้ที่ว่านี้ก็เป็นประโยชน์ที่จะเตือนให้เจ้าชาตาเขารู้ตัวไว้ก่อน จะได้ป้องกันหรือลดความรุนแรงของโทษนั้นลงได้บ้าง ดังนั้น การที่ผมนำเรื่องอย่างนี้มาบอกให้คุณได้รู้กันไว้ คุณจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีงั้นเรอะ?

ไม่ใช่แน่ จริงไหมครับ?

ถึงอย่างไรการได้เรียนรู้ถึงวิธีที่จะตรวจดูดาวในเรือนชาตาว่าดวงไหนดีดวงไหนเสียก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น และเรื่องของการศึกษาดวงดาวนี้ไม่ใช่มีแต่เพียงเรื่องนี้อย่างเดียว โหราศาสตร์ไทยเรานี่มีวิธีการอีกหลายอย่างที่จะใช้ในการตรวจดาว เพราะขึ้นชื่อว่าโหราศาสตร์แล้ว ดวงดาวคืออุปกรณ์อันสำคัญยิ่งในการพยากรณ์ จึงต้องตรวจกันให้มาก รู้วิธีตรวจมากเท่าไหร่ คุณก็เก่งมากเท่านั้น ฉะนั้น จึงสมควรที่จะได้เรียนรู้กันให้มากๆ หรือว่าคุณไม่อยากรู้?

นี่ผมกำลังจะบอกให้คุณๆ ทราบกันว่า ไหนๆ ก็ว่ากันมาถึงเรื่องการตรวจดาวแล้ว ผมจะบอกเคล็ดลับการตรวจดาวอีกอย่างให้คุณได้รู้กันอีก นั่นคือเรื่อง “ดาวในราศีธาตุ” ซึ่งก็ยังอยู่ในเรื่องของจุดเสื่อมจุดเสริมนี้อยู่เหมือนกัน

สัปดาห์หน้ามาพบกับของดีที่หายากกันได้เลยครับ