ความขัดแย้ง และ ความศักดิ์สิทธิ์ในช่วงการปฏิรูปทางศาสนา : ท่าอากาศยานต่างความคิด

ชีวิตาในโลกใหม่ (28) เทศะแห่งอาณานิคมและกาละของผู้ปกครอง

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2017 ที่ผ่านมา สถานีโทรทัศน์ Deutsche Welle หรือ DW อันเป็นสถานีโทรทัศน์สำคัญของเยอรมนีได้สัมภาษณ์ชาวเยอรมันในงานเฉลิมฉลองห้าร้อยปีแห่งการปฏิรูปศาสนาจากการลงแรงของ มาร์ติน ลูเธอร์-Martin Luther (1517-2017)

คำตอบจากชาวเยอรมันที่ส่วนใหญ่นับถือนิกาย Lutheran อันถือกำเนิดจาก มาร์ติน ลูเธอร์ มีแตกต่างกันออกไป

อาทิ มาร์ติน ลูเธอร์ ได้ทำให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าอิสรภาพ ทั้งอิสรภาพจากการมีศูนย์กลางของศาสนาและอิสรภาพในการเข้าถึงศาสนา

หรือ มาร์ติน ลูเธอร์ ทำให้เขาได้ล่วงรู้หนทางในการพัฒนาตนเอง

หรือ มาร์ติน ลูเธอร์ ได้ทำให้โครงสร้างสังคมแบบเดิมในยุโรปเปลี่ยนแปลงไปจนถึงจุดที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปศาสนาก็เฉกเช่นงานสำคัญใหญ่ที่ไม่อาจลุล่วงได้ด้วยตนเอง การทำความรู้จัก แคตธาริน่า ฟอน โบร่า ภรรยาของ มาร์ติน ลูเธอร์ ทำให้เราได้เข้าใจการวางรากฐานกฎเกณฑ์ของข้อบังคับแบบคริสเตียนโปรเตสแตนต์

แต่พวกเขาทั้งคู่นั้นมาจากการเป็นชาวอาราม ไม่ใช่นักรบ

ดังนั้น การปกป้องตนเองโดยเฉพาะนิกายที่เกิดใหม่นั้นมีความยากลำบากอยู่มาก

และจำเป็นจะต้องมีผู้ที่มีอำนาจทั้งทางการทหารและทางทรัพย์สินในการประคองการเริ่มต้นดังกล่าว

โชคดีที่ มาร์ติน ลูเธอร์ มีผู้อุปถัมภ์คนสำคัญ เป็นผู้อุปถัมภ์ที่ทั้งช่วยเหลือเขาจากความตาย ให้ที่พักพิง ให้เงินทุน และยังพร้อมจะทำสงครามทางศาสนาในเวลาอันเหมาะสมด้วย

การปฏิรูปศาสนาของ มาร์ติน ลูเธอร์ นั้นไม่อาจสำเร็จลงได้เลยหากปราศจากบุคคลผู้มีนามว่า เฟรเดอริกที่สาม หรือเฟรเดอริกผู้เปรื่องปัญญา-Frederick the Wise

เฟรเดอริกที่สาม นั้นเกิดในปี 1463 ที่เมืองทอร์เกา แคว้นแซกโซนี (Saxony) อันเป็นแคว้นที่การปฏิรูปศาสนาก่อตัวขึ้น เมื่อถึงปี 1486 ในขณะที่เขามีอายุได้ 23 ปี

เขาได้รับการสืบทอดตำแหน่งผู้ครองแคว้นแซกโซนีสืบต่อจากบิดาของเขา

เขาเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิตเตนเบิร์ก-University of Wittenberg ที่ มาร์ติน ลูเธอร์ และผู้ก่อการปฏิรูปศาสนาทั้งหลายทำหน้าที่อาจารย์ที่นั่น

เขาเป็นผู้ชิงตัว มาร์ติน ลูเธอร์ หลังจากที่ถูกขับออกจากศาสนาและกำลังเดินทางออกนอกเมืองหลังการไต่สวนศาสนาที่นครเวิร์ม เขาเป็นผู้อุปถัมภ์ครอบครัวของ มาร์ติน ลูเธอร์

และเขาเป็นผู้ที่วางรากฐานของนิกายลูเธอร์แลนผ่านทางน้องชายของเขาคือ โยฮันน์-Johann และหลานชายคือ โยฮันน์ เฟรเดอริกที่หนึ่ง-John Federick I

ประวัติของเฟรเดอริกที่สามนั้นสั้นและน่าทึ่งตรงที่ว่าแม้เขาจะสนับสนุนการปฏิรูปศาสนามากเพียงใดเขาก็ยังคงมั่นเป็นคริสต์ชนที่จงรักต่อสันตะปาปาและศาสนจักรที่วาติกันจนวาระสุดท้ายของชีวิต

เราไม่มีหลักฐานมากพอที่จะวินิจฉัยว่าเพราะเหตุใดเฟรเดอริกที่สามจึงสามารถดำรงตนอยู่ในความขัดแย้งที่ว่านั้นได้

หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในชีวิตของเขาโดยเฉพาะในอาณาจักรของเขา มีคำร่ำลือว่าเขาเป็นนักสะสมวัตถุทางประวัติศาสตร์ชั้นยอดโดยเฉพาะวัตถุทางศาสนา

วัตถุทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่เชื่อว่าตกอยู่ภายใต้การครอบครองของเขานั้นมีนับตั้งแต่กระดูกข้อมือของ เซนต์แอนน์-Saint Anne ผู้ที่เป็นมารดาของพระแม่นิรมล พระนางมารี และเป็นผู้เป็นยายของพระคริสต์

กระดูกของเซนต์แอนน์นี่ถูกค้นพบโดยจักรพรรดิชารล์มาญ-Charlemagne ในศตวรรษที่แปด และไม่มีหลักฐานว่ามาสู่การครอบครองของเฟรเดอริกที่สามได้อย่างไร

และปัจจุบันนี้กระดูกที่ว่าได้ถูกนำไปประดิษฐานยังโบสถ์เซนต์แอนน์ในฝรั่งเศสแล้ว

การค้นพบกระดูกของเซนต์แอนน์นั้นน่าทึ่ง กาลเวลาผ่านไปกว่าแปดร้อยปีหลังการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เล่าขานกันว่าสานุศิษย์ของพระองค์ต้องหลบหนีออกจากนครเยรูซาเลม

เรือลำหนึ่งที่บรรทุกกระดูกและสานุศิษย์ได้หลบหนีมาถึงยังตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน

พวกเขาฝังกระดูกของเซนต์แอนน์ไว้ในบริเวณนั้นและอธิษฐานให้จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้ค้นพบ

การค้นพบนั้นน่าทึ่งเพราะเมื่อกาลเวลาผ่านไปเป็นร้อยปี ไม่มีใครล่วงรู้สถานที่ฝังร่างของเซนต์แอนน์แล้ว หากแต่เมื่อจักรพรรดิชาร์ลมาญทรงมีรับสั่งให้สร้างโบสถ์แห่งหนึ่งขึ้นในทางใต้ของฝรั่งเศส หลังการก่อสร้างสำเร็จลง พระองค์เสด็จมากระทำพิธีมิสซาที่นั่น

และในระหว่างพิธีมิสซานั้นเอง เด็กเลี้ยงแกะตาบอดคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืน เขาเดินตรงไปที่แท่นบูชาและใช้ไม้ประจำตัวเคาะลงที่พื้นโบสถ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ว่ากันว่า ด้วยการดลใจของพระเจ้า จักรพรรดิชาร์ลมาญได้สั่งให้ขุดพื้นที่ตรงนั้น ลึกลงไปพวกเขาพบอุโมงค์ลับ

ทุกคนลงไปในอุโมงค์ เดินไปตามทาง ก่อนจะพบกำแพงกั้นขนาดใหญ่

หลังการทลายกำแพงนั้น พวกเขาพบอีกอุโมงค์หนึ่ง และหลังการเดินไปตามอุโมงค์ในที่สุดเขาก็ได้พบสุสานของเซนต์แอนน์

ที่สุสานนั้นมีโครงกระดูกของหญิงผู้หนึ่งพร้อมทั้งแผ่นกระดาษที่เขียนเป็นลายมือว่า “นี่คือร่างของแอนน์ มารดาอันเป็นที่รักของพระแม่มารีผู้บริสุทธิ์”

จักรพรรดิชาร์ลมาญตื่นเต้นในการค้นพบครั้งนี้มาก พระองค์ทรงมีรับสั่งให้ส่งสิ่งที่ค้นพบไปยังนครวาติกันพร้อมกับสาส์นอธิบายการค้นพบครั้งนี้ต่อสันตะปาปาลีโอที่สาม

และสาส์นที่ว่านี้เองคือเอกสารยืนยันการค้นพบในครั้งนั้น

นอกเหนือจากกระดูกข้อมือของเซนต์แอนน์ที่อยู่ภายใต้การครอบครองของเจ้านครเฟรเดอริกที่สามแล้ว เขายังครอบครองน้ำนมที่เชื่อว่าไหลออกจากทรวงอกของพระแม่มารีนิรมลด้วย

การค้นพบน้ำนมของพระแม่มารีย์นั้นได้มาจาก เซนต์ เบอร์นาร์ด แห่งแคร์โวซ์- Saint Bernard of Clairvaux ผู้เกิดในศตวรรษที่สิบเอ็ด

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อ เซนต์ เบอร์นาร์ด ยืนอยู่เบื้องหน้ารูปเคารพของพระแม่มารี และรำพึงว่าหากท่านเป็นพระมารดาของพระเจ้าจริง จงแสดงให้ข้าพเจ้าประจักษ์ด้วย

ทันใดนั้นเอง น้ำนมก็พุ่งจากทรวงอกของรูปปั้นพระนางมารีสู่ปากของเซนต์ เบอร์นาร์ด

เหตุการณ์ครั้งนั้นมีชื่อว่า อัศจรรย์แห่งการหลั่งน้ำนม หรือ The Miracle of Lactation น้ำนมที่หลั่งไหลในครั้งนั้นถูกแจกจ่ายไปตามอาสนวิหารสำคัญๆ ในยุโรป และบางส่วนตกอยู่ใต้การครอบครองของเฟรเดอริกที่สาม

สิ่งอัศจรรย์ที่อยู่ในการครอบครองของเฟรเดอริกที่สามที่ร่ำลือกันอีกได้แก่ เศษฟางที่รองรับพระเยซูเมื่อแรกเกิด

เศษฟางนี้ปรากฏแพร่หลายในยุคกลางเมื่อการจาริกแสวงบุญไปยังนครเยรูซาเลมเป็นที่นิยม มีกระแสข่าวการค้นพบเศษฟางที่ว่าในสถานที่กำเนิดของพระคริสต์ครั้งแล้วครั้งเล่า

ทุกการค้นพบล้วนยืนยันว่าเป็นของแท้จริง และบางชิ้นมาสู่อาณาจักรของเฟรเดอริกที่สาม

ในช่วงแรกของการสะสม มีคำยืนยันว่าเฟรเดอริกที่สามสะสมสิ่งเหล่านี้ไว้มากถึง 17,000 ชิ้น

แต่ก่อนเขาเสียชีวิตนั้นเขามีของสะสมดังว่าถึงเกือบ 20,000 ชิ้น

แน่นอนที่ว่าการสะสมสิ่งของเหล่าเป็นสิ่งผิดจารีตทางศาสนาและมีบทลงโทษให้เขาต้องถูกลงโทษในนรกถึงสองล้านปีเมื่อเทียบเวลาบนโลก

โดยการลงโทษในการครอบครองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาชิ้นละหนึ่งร้อยปี ทว่า ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเขาถูกลงโทษหรือไม่

เพราะเฟรเดอริกที่สาม จากโลกนี้ไปในวัยเพียง 62 ปีเท่านั้นเอง