เสฐียรพงษ์ วรรณปก : “พระราหุลเถระ” ผู้มีความใคร่ในการศึกษา

พระราหุลเถระ เป็นพระสาวกรูปแรกที่บวชแต่อายุเพิ่ง 7 ขวบ จึงเป็น “บิดา” แห่งสามเณรทั้งหลาย

เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้า เสด็จนิวัตไปโปรดพระประยูรญาติที่เมืองกบิลพัสดุ์นั้น พระมารดาของท่าน (พระนางยโสธราพิมพา) ได้บอกกับพระราหุลกุมารว่า ตั้งแต่พระบิดาเสด็จออกผนวช ขุมทรัพย์ที่ปรากฏขึ้นพร้อมกับการประสูติของพระองค์ได้หายไป ขอให้ราหุลกุมารไปทูลขอขุมทรัพย์นั้น

ขณะที่พระพุทธองค์พร้อมทั้งภิกษุสงฆ์จำนวนมาก เสด็จออกบิณฑบาตอยู่ในเมือง ราหุลกุมารก็ติดตามพระบิดาไป พลางร้องว่า “สมณะ ขอขุมทรัพย์ๆ” พระพุทธองค์มิได้ตรัสตอบ คงเสด็จดำเนินไปเรื่อย

จนกระทั่งไปถึงนิโครธาราม สถานที่ประทับชั่วคราวอยู่นอกเมือง ราหุลกุมารเข้าไปนั่งใกล้พระพุทธองค์ มีความรู้สึกสงบและร่มเย็นอย่างประหลาด จนถึงกับอุทานออกมาว่า “สมณะ ร่มเงาของท่านสบายจริงๆ” (สุขา เต สมณ ฉายา)

พระพุทธองค์ทรงดำริว่า อันทรัพย์สมบัตินั้นๆ ในโลกย่อมไม่จีรังยั่งยืน อย่ากระนั้นเลย เราจะให้อริยทรัพย์แก่ราหุลดีกว่า แล้วพระองค์จึงมีพุทธบัญชาให้พระสารีบุตรบวชให้ราหุลกุมาร

เนื่องจากไม่เคยมีเด็กบวชมาก่อน พระเถระจึงกราบทูลถามวิธีปฏิบัติ พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้บวชด้วยการเปล่งวาจาถึงไตรสรณคมน์

การบวชของราหุลจึงมีชื่อว่า ติสรณคมนูปสัมปทา การอุปสมบทด้วยการถึงสรณะสาม

ต่อมาการบวชแบบนี้ได้ใช้สำหรับการบวชสามเณรเท่านั้น บวชแล้วสามเณรราหุลเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษามาก

ว่ากันว่าในทุกๆ เช้าสามเณรน้อยจะลงมากอบทรายเต็มกำมือ แล้วอธิษฐานดังๆ ว่า “วันนี้ขอให้เราได้ฟังโอวาทจากพระพุทธเจ้าและพระอุปัชฌาย์มากมาย ดุจเมล็ดทรายในกำมือเรานี้”

พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่านว่าเอตทัคคะในทางเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา

 

สามเณรราหุลไม่เคยถือตนว่าเป็นโอรสพระพุทธเจ้า ท่านเป็นคนว่าง่าย และมีความเคารพในพระสงฆ์ ครั้งหนึ่งพระจากชนบทจำนวนหนึ่งมาพักที่พระเชตวันเนื่องจากพระวินัยห้ามภิกษุนอนในที่เดียวกันกับอนุปสัมบัน จึงไล่ให้สามเณรราหุลไปข้างนอก โดยไม่คำนึงว่าสามเณรน้อยจะไปอยู่ที่ไหน

สามเณรราหุลไม่มีที่อยู่ จึงเข้าไปพักอยู่ที่วัจกุฎี (ส้วม) ของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์เสด็จไปพบเข้ากลางดึก จึงนำท่านกลับมาพักที่พระคันธกุฎีของพระองค์

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น พระองค์จึงทรงลดหย่อนผ่อนปรนสิกขาบทข้อที่ว่า ด้วยห้ามภิกษุอยู่ในที่มุงบังเดียวกับอนุปสัมบันเกินหนึ่งคืน ขยายเวลาออกเป็นสามคืน

 

ท่านได้ฟังพระพุทธโอวาทหลายครั้ง พระโอวาทองค์ที่น่าสนใจเป็นพิเศษอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ผมว่าน่าสนใจมากก็เพราะทรงสอนให้ใช้สื่อเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อเหมาะแก่อุปนิสัยของเด็กเป็นอย่างยิ่ง นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับโทษของการพูดเท็จ

พระพุทธองค์ทรงจับขันน้ำล้างพระบาทขึ้น แล้วทรงเทน้ำลงหน่อยหนึ่ง แล้วตรัสถามว่า

“ราหุล เห็นไหม น้ำที่เราเทลงหน่อยหนึ่งนี้”

“เห็น พระเจ้าข้า” สามเณรน้อยกราบทูล

“ราหุล คนที่พูดเท็จทั้งๆ ที่รู้ เทคุณความดีออกจากตนทีละนิด เหมือนเทน้ำออกจากขันนี้”

“ราหุล เห็นไหม น้ำที่เราเทออกหมดนี้” ตรัสถาม หลังจากทรงเทน้ำหมดขัน

“เห็น พระเจ้าข้า”

“ราหุล คนที่พูดเท็จทั้งๆ ที่รู้ ย่อมเทน้ำคุณความดีออกหมด เหมือนน้ำที่เราเทออกหมดนี้”

เสร็จแล้วทรงคว่ำขันลง ตรัสถามว่า

“ราหุล เห็นไหม ขันที่เราคว่ำลงนี้”

“เห็น พระเจ้าข้า”

“ราหุล คนที่พูดเท็จทั้งๆ ที่รู้ ย่อมคว่ำคุณธรรมออกหมด เหมือนขันคว่ำนี้”

เสร็จแล้วทรงหงายขันเปล่าขึ้น แล้วตรัสถามว่า

“ราหุล เห็นไหม ขันเปล่าที่เราหงายขึ้นนี้ ไม่มีน้ำเหลือเลย”

“เห็น พระเจ้าข้า”

“ราหุล คนที่พูดเท็จทั้งที่รู้ ย่อมไม่มีคุณความดีเหลืออยู่เลย ดุจขันเปล่านี้”

ทรงสอนโดยใช้สื่อประกอบเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งทำให้เด็กน้อยได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง คำว่า “คุณความดี” ที่คนพูดเท็จทั้งที่รู้เทออกจากตนนี้ ท่านใช้ศัพท์ว่า สามญฺญํ แปลว่า ความเป็นสมณะ หรือความเป็นพระนั้นแหละครับ

คนที่พูดเท็จทั้งๆ ที่รู้ ย่อมเทความเป็นพระออกทีละนิดๆ จนไม่มีเหลือ กลายเป็น “คนโกหกหลอกลวง” หรืออลัชชีในที่สุดนั้นแล

 

ครั้งสุดท้ายท่านได้ฟังจุฬราหุโลวาทสูตรที่ 2 เนื้อหาว่าด้วย ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ท้ายพระสูตรได้บันทึกไว้ว่า ท่านได้บรรลุพระอรหัตจากการฟังพระโอวาทนี้

ไม่ได้บอกว่าท่านบรรลุพระอรหัตเมื่ออายุเท่าไหร่ คาดว่าคงจะอายุประมาณ 18 ปี และเมื่อท่านอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์แล้ว ก็ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ (เข้าใจว่าพระสารีบุตรอัครสาวก คงจะเป็นพระอุปัชฌาย์เช่นเดิม)

พระราหุลเถระมีสมญานามที่เพื่อนพรหมจารีทั้งหลายเรียกขานอีกอย่างหนึ่งว่า ราหุลภัททะ แปลว่า ราหุลผู้โชคดี หรือราหุลผู้ดีงาม

พระราหุลเถระยอมรับว่า คำพูดนี้เป็นความจริง เพราะท่านนับว่ามีโชคดีถึงสองชั้น

โชคชั้นหนึ่งได้เป็นโอรสของเจ้าชายแห่งศากยวงศ์

โชคชั้นที่สอง ได้เป็นโอรสในทางธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระราหุลเถระนิพพานเมื่ออายุเท่าไร ไม่มีบันทึกไว้ที่ไหน ทราบแต่ว่าท่านนิพพานก่อนพระอุปัชฌาย์ และก่อนพุทธปรินิพพาน ถ้าเช่นนั้นท่านก็คงนิพพานเมื่ออายุไม่มากนัก

สถานที่นิพพานของท่าน คือ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์