เรื่องสั้น : “คำสารภาพของนักพูด” โดย เชตวัน เตือประโคน

ผมแก่แล้ว ผมร่วงหมดหัว ตาพร่ามัวแทบมองไม่เห็น ผิวหนังยับย่นไม่ต่างจากผืนดินแตกแห้ง จะลุกขยับแต่ละทีลำบาก ต้องมีคนคอยช่วยประคอง ดีนะ ที่ตอนนั้นตัดสินใจไม่ผิด หน้าที่การงานตลอดครึ่งของอายุชีวิตที่เหลือ จะเรียกมันว่าปฏิบัติการก็ได้ ทำให้ผมมีชื่อเสียง มีอำนาจ และก็มีเงินเก็บมากพอจะจ้างคนมาอยู่ดูแลตัวเองในบั้นปลายชีวิต ไม่ต้องแก่ตายอย่างเหงาๆ

ผมทำอะไรเหรอ? เชื่อเถอะพ่อหนุ่ม คุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลจากปฏิบัติการของผม ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไฟล์ที่บันทึกภาพและเสียงของผม ซึ่งวันนี้รัฐบาลก็ยังคงเปิดให้ผู้คนฟังนั่นอย่างไร หรือคุณอาจจะเคยได้ยินต่อๆ มาจากคำบอกเล่าของพ่อแม่ จากครูอาจารย์หลังยุคสมัยปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมได้เดินทางมาถึงจุดที่เรียกว่าความสำเร็จของการเป็นนักพูดแล้ว

จดไว้ คุณทำได้ใช่ไหมพ่อหนุ่ม? เยี่ยมจริง คนรุ่นคุณสักกี่คนที่รู้จักปากกา สักกี่คนที่สามารถเขียนหนังสือได้ จดสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ทันล่ะ และอย่าอัดเสียง อย่าถ่ายคลิปวิดีโอถ้าผมไม่สั่ง ไอ้พวกระบบดิจิตอลนั่น รัฐบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลและลบทำลายมันได้หมด คุณต้องจดลงกระดาษเท่านั้น เห็นข้อดีที่ขบวนการพวกคุณเปิดคอร์สสอนเรื่องการเขียนหรือยังล่ะ คุณต้องจด และถ้าอยากเผยแพร่ ต้องตีพิมพ์มันออกมาเป็นหนังสือ

หึ หึ ตลกดีเหมือนกัน วันนี้ไม่มีหนังสือหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้แล้ว เทคโนโลยีเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวก แต่ก็แลกด้วยการที่มนุษย์ต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัว ต้องถูกจับจ้อง ถูกตรวจสอบโดยรัฐบาลซึ่งใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ อ้อ ผมจะไม่ถามคุณหรอกว่า รู้ตอนไหนถึงการมีอยู่ของไมโครชิพในตัว และเอาไอ้ชิพนั่นไปทิ้งทำลายหายไปอีท่าไหน ทำไมถึงรอดจากการติดตามของทหารรัฐบาลได้ เอาเป็นว่าจะไม่ละลาบละล้วงเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะบอกคุณว่า ยินดีด้วย คุณเป็นอิสระแล้ว

อ้อ ผมรู้ได้อย่างไรเหรอว่าในตัวคุณไม่มีไมโครชิพฝังอยู่แล้ว ก็ตอนคุณสแกนม่านตา ผมเปิดประตูให้เข้ามาในบ้านนี่อย่างไรล่ะ และนั่นมันก็ทำให้คุณมีเวลาอีกเพียง 3 ชั่วโมงนับจากนี้

อยากรู้อะไรเกี่ยวกับผม รีบถามและรีบจดเอาไป ทหารกำลังยกโขยงกันมานี่แล้ว

 

เอาล่ะ เริ่มเลยนะ, ย้อนกลับไปตอนอายุราว 30 ผมเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะนักเขียน มีผลงานตีพิมพ์หลายเล่ม ได้รับรางวัลการันตีความสำเร็จมากมาย หนังสือของผมขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ละปกพิมพ์ซ้ำเป็นสิบๆ ครั้ง

สภาพบ้านเมืองช่วงนั้นเพิ่งฟื้นจากพิษเศรษฐกิจ อะไรต่างๆ เริ่มดีขึ้น พร้อมๆ กับการเข้ามาของเทคโนโลยี

จุดเริ่มต้นตรงนั่นแหละ มันพัฒนาความสามารถของตัวเองเรื่อยมา ที่สุด สื่ออย่างกระดาษก็ลดความสำคัญ จนกระทั่งหลังจากเกิดความขัดแย้งของผู้คนที่มีความคิดทางการเมืองต่างกันอย่างสุดขั้ว เกิดเหตุจลาจลกลางเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ทำให้ทหารตบเท้าออกมายึดอำนาจ นับจากนั้น ปฏิบัติการต่างๆ ก็เริ่มต้น มีคำสั่งยกเลิกการพิมพ์หนังสือเล่มใหม่ทุกประเภท และตอนนั้นเอง เทคโนโลยีได้พัฒนามาจนถึงจุดที่มีไมโครชิพซึ่งสามารถฝังเข้าไปในตัวของเด็กเกิดใหม่ทุกคน รัฐบาลอ้างว่าทำเพื่อความสะดวกสำหรับการจัดสวัสดิการของรัฐให้

ในฐานะเสรีชนคนหนึ่ง ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ผมเขียนบทความไม่เห็นด้วย วิจารณ์เรื่องนี้ และแอบตีพิมพ์เผยแพร่ เท่านั้นแหละ ผมก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนจากการถูกทหารตามล่า หนังสือจำนวนมหาศาลที่อัดแน่นอยู่เต็มคอนโดมิเนียมกลางเมือง ถูกบุกยึด เช่นเดียวกับของนักเขียนคนอื่นๆ ก่อนที่จะตามมาด้วยคำสั่งของรัฐบาล ห้ามผู้ใดมีหนังสือไว้ในครอบครอง เกิดมหกรรมการเผาหนังสือกลางท้องสนามหลวงครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งกินเวลายาวนานถึง 2 สัปดาห์เต็ม ว่ากันว่า เขม่าควันหรือขี้เถ้าจากการเผาครั้งนั้น ลอยไปตกไกลถึงประเทศจีน

ผมได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนชาวต่างชาติคนหนึ่ง จะชาติไหนล่ะ ก็บ้านใกล้เรือนเคียงแถบนี้แหละ ผมไม่มีปัญญาเดินทางไปไกลถึงฟากฝั่งยุโรปหรืออเมริกาหรอก ไม่ชอบด้วย ไม่ถนัดกับอากาศ อาหารก็ไม่ถูกปาก อยู่และแวกนี้ดีอย่าง ได้รับรู้ข่าวสารในบ้านเมืองตนเอง ข่าวจากโทรทัศน์ประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถดูช่องสถานีเดียวกัน และฟังกันพูดรู้เรื่องนั่นแหละ

หลังการฝังไมโครชิพให้เด็กแรกเกิด เผาหนังสือ รัฐบาลก็เริ่มการปฏิรูปประเทศขนานใหญ่ ตอนนั้นเองที่เริ่มมีสิ่งที่เรียกว่านักพูดเกิดขึ้น การเฟ้นหามนุษย์พันธุ์นี้กระทำการโดยรัฐบาล จากการจัดประกวด เมื่อเห็นว่าใครมีแววก็เชิญตัวมาร่วมฝึกต่อและได้ร่วมงานกับรัฐบาล ได้รับสวัสดิการดีๆ ไปเจ็ดชั่วโคตร รัฐบาลได้นักพูดจำนวนหนึ่ง ส่งออกไปพูดตามที่ต่างๆ ในสถานีโทรทัศน์ บนเวทีแสดงคอนเสิร์ต

บรรดานักพูดเหล่านี้ถูกเรียกตัวไปใช้ทุกกระบวนการปฏิรูปประเทศ

 

สําหรับผม ชีวิตในต่างแดนอยู่มาจนถึงวัย 50 ก็เริ่มลำบาก หลังจากเพื่อนที่คอยให้ความช่วยเหลือมาตลอดเสียชีวิต บ้านหลังเล็กๆ ชานเมืองของเขาที่ให้ผมอาศัยอยู่เริ่มหงอยเหงา ไม่มีใครคอยส่งข้าวส่งน้ำ และผมเองก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเดินไปเดินมา นอนอ่านหนังสือ หรือดูโทรทัศน์ให้หมดวันไป

แล้วในที่สุด ผมก็ตัดสินใจบันทึกวิดีโอการพูดของตัวเองส่งให้รัฐบาล ผมประกาศยอมแพ้ เลิกหลบหนี ปวารณาตัวขอทำหน้าที่นักพูดอีกคนหนึ่ง แน่นอนว่าด้วยชื่อเสียงของผมที่สั่งสมมาเมื่อคราเป็นนักเขียน ช่วยการันตีได้อย่างดีว่า ผมจะเป็นนักพูดที่พูดจาไร้สาระหรือไร้หลักเกณฑ์ หรืออย่างน้อย มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลพึงพอใจ พวกเขาใช้ผมเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ว่า มีผู้คิดผิดได้กลับตัวกลับใจ ปรับเปลี่ยนความคิดตนเองมาร่วมแนวทางปฏิรูปประเทศ เชิดชูว่าตลอดการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมานั้นถูกต้องแล้ว

การกลับมาของผมเป็นข่าวใหญ่ รายการโทรทัศน์ สื่อใหม่อย่างอินเตอร์เน็ตนำเสนอเรื่องราวต่อเนื่องตลอดช่วงเวลา 1 เดือน ขุดคุ้ยประวัติผมมานำเสนอ เชิญผมไปให้สัมภาษณ์ ผลงานหนังสือที่ผมเขียนเท่าที่มีหลุดรอดจากมหกรรมการเผาครั้งยิ่งใหญ่ก็มีมือดีอัพโหลดเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งผมมั่นใจว่า น่าจะเป็นทีมงานของรัฐบาลเอง เพราะถ้าเป็นบุคคลทั่วไป คงจะมีข่าวคราวเรื่องการจับกุมแล้ว หลังจากที่นำข้อมูลอันจะก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาลออกมาเผยแพร่

รัฐบาลเล่นเกมฉลาด พวกเขาอัพโหลดหนังสือ เพื่อให้สังคมรู้ว่าผมเป็นคนที่มีผลงานมาก่อน ปล่อยให้อ่านแบบเต็มๆ ทำเหมือนฝ่ายไม่เห็นด้วยกระทำการ จากนั้นอีก 3 ชั่วโมงต่อมา ประโยคต่างๆ ที่เขามองว่าเป็นภัยก็ถูกทำให้เป็นแถบปื้นดำ จุดแล้ว จุดเล่า จนแทบจะไม่มีใครอ่านรู้เรื่อง หรือแม้แต่ผมเองก็ยังจำไม่ได้เลยว่าเขียนอะไรไว้ พวกเขาไม่ทำลายมัน เพราะต้องการที่จะให้ผู้คนสนใจผม ทำให้ผู้คนคิดว่าผมไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้ เพียงแค่เทปแรกในฐานะนักพูดของรัฐบาล แค่แจ้งข่าวว่าจะออกอากาศวันไหน เรตติ้งรายการก็พุ่งทะยานอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผู้คนเฝ้ารอชมทั้งประเทศ

จดทันไหมพ่อหนุ่ม? นั่นแหละจุดเริ่มต้นของการเป็นนักพูดของผม จากวัย 50 กว่า กระทั่งวันนี้ 90 แล้ว คิดดูสิ ยาวนานขนาดไหน ผมพูดมาแล้วเป็นพันเวที มีคลิปเสียง มีวิดีโอบันทึกไว้มากมาย ขนาดที่รัฐบาลจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่สำหรับใช้ในการปฏิรูปทุกแขนงได้สบาย ผมกลายเป็นครูของนักพูดรุ่นต่อๆ มา เป็นคอมเมนเตเตอร์ในเวทีจัดประกวดการพูด คุณคงเคยดูบ้างสินะ เออ ท่าทางทะมัดทะแมงคล่องแคล่วอย่างคุณ น่าจะลองไปประกวดบ้างนะ ฮา ฮ่า

ผมล้อคุณเล่น อย่าเลย ดีแล้วที่คุณรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีเสรีภาพเลย การพูดของนักพูดไม่ว่าจะคนไหน มันก็คือบทกล่อมประสาท เป็นบทล้างสมองผู้คนทั้งนั้น บทต่างๆ ถูกเขียนโดยรัฐบาล แอ๊กติ้งของนักพูดทุกคนจะโดนกำกับโดยผู้เชี่ยวชาญการแสดง จังหวะไหนต้องซึ้ง จังหวะไหนต้องหัวเราะ จังหวะไหนต้องร้องไห้ มีการเตรียมการหมด และกว่าจะเป็นหลักสูตรนี้ได้ ก็ต้องผ่านการวิจัย ผ่านการศึกษาทางจิตวิทยามวลชนมาเป็นอย่างดี และเท่าที่ผมล่วงรู้มา เร็วๆ นี้ท่านผู้นำจะมีมาตรการให้แปลงไฟล์ที่นักพูดทุกคนเคยพูดไว้ใส่เข้าไปในไมโครชิพ ให้มันฝังอยู่ในตัวผู้คน และมันจะกล่อมคุณอยู่ตลอดเวลา

ตอนนี้พวกเขาได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้แล้ว

 

เอาล่ะ ถึงไหนแล้วนี้, โอ้ ไม่ทันแล้วพ่อหนุ่ม เรามีเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คุณต้องหนี ทหารใกล้มาถึงที่นี่แล้ว เอาอย่างนี้ คุณไปหยิบรูปท่านผู้นำที่ติดอยู่ตรงหลังเปียโนนั่นมาหน่อย นั่นแหละ เอามา แกะกรอบรูปออก นี่คือหนังสือชุดสุดท้ายของผมที่ยังหลงเหลืออยู่ คุณเอาไปเถอะ อยู่กับคุณมันน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าที่จะมาแขวนผนัง โดยที่ไม่เคยมีใครได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของมันแบบนี้

นี่, พ่อหนุ่ม เข้ามาใกล้ๆ และคราวนี้คุณถ่ายคลิปวิดีโอนะ ผมจะพูดอะไรสั้นๆ เป็นประโยคสุดท้าย จบแล้วให้คุณรีบหนีไปให้เร็วที่สุด เริ่มเลยนะ

“ขอบคุณ ที่ทำให้ผมได้พูดความจริงอีกครั้ง หลังจากที่ต้องฝืนเล่าเรื่องโกหก พูดมอมเมาผู้คนมาตลอด 40 ปี”

ไป! หนีไปได้แล้วพ่อหนุ่ม