คุณครูสอนภาษาจีน : ปักกิ่งไม่อิงนิยาย

อาจารย์เกื้อพันธุ์และลูกชายคนโต

หลังจากชีวิตการงานที่ปักกิ่งเข้าที่เข้าทางเรียบร้อย คือ หาคอนโดที่พักได้ใกล้ที่ทำงาน เดินไปทำงานห้านาทีถึง แถมข้างล่างคอนโดเป็นห้างสรรพสินค้าจับจ่ายซื้อของได้สะดวก  ห้องพักจัดว่าสะดวกสบายตามอัตภาพ ของใช้จำเป็นก็หาซื้อมาได้เกือบครบ หน้าที่การงานลงตัวรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง และไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำท้องที่เรียบร้อยว่า ชาวต่างชาติคนนี้มาทำงานที่นี่ พักที่ไหนและจะอยู่ที่ปักกิ่งจนถึงเมื่อไหร่ ทุกอย่างเป็นอันลงตัว ปรับตัวปรับใจเลิกหายคิดถึงบ้านและทำงานในหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองให้ดีที่สุด แต่ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี่สิ ไม่รู้จะทำอะไร อยู่ห้องคนเดียว ทำความสะอาดห้อง ซักผ้า ล้างห้องน้ำประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ

พอเวลาอยู่ว่างๆทีไรมักจะคิดถึงบ้านขึ้นมาทุกที จนต้องหาอะไรทำ ทุกวันเสาร์ผมจึงต้องเข้าไปทำงาน ตรวจข่าว ตรวจสารคดี บันทึกเสียงรายการจนไม่มีงานเหลือค้าง สุดท้ายเข้าอินเทอร์เน็ตอ่านโน่นดูนี่ ตอนเย็นขึ้นไปใช้บริการฟิตเนสเซ็นเตอร์ของที่ทำงานกลับบ้านอีกทีสองทุ่ม วันอาทิตย์ช่วงสายๆจะออกไปท่องเที่ยวในเมืองปักกิ่ง เข้าวัดจีน เดินตลาดบ้าง เดินห้างสรรพสินค้าบ้าง เดินรอบเทียนอันเหมิน นั่งเล่นตามร้านอาหารดูคนจีนในเมืองหลวงเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่การดุ่มเดินเที่ยวคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องสนุกนัก บางครั้งเห็นหนุ่มสาวเดินกันเป็นคู่ หรือเห็นครอบครัวพากันมาเที่ยวเล่นทานอาหารรู้สึกสะท้อนใจบอกไม่ถูก

วันหนึ่งอาจารย์เอื้อพันธุ์มาตรวจงานที่ซีอาร์ไอ อาจารย์เอื้อพันธุ์เป็นอาจารย์สอนภาษาไทยประจำมหาวิทยาลัยปักกิ่ง สอนภาษาไทยให้กับนักเรียนจีนมาแล้วหลายรุ่น นักศึกษาจีนหลายคนเรียนจบรับปริญญาออกมาทำงานเป็นมัคคุเทศน์พาคนจีนไปเที่ยวเมืองไทยและพาคนไทยมาเที่ยวเมืองจีน บางคนไปเป็นล่าม เป็นนักแปล บางคนมาทำงานที่ซีอาร์ไอและสำนักข่าวอื่นๆ  อาจารย์มารับงานพิเศษช่วยตรวจต้นฉบับในช่วงที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญภาษาไทยมาประจำหน่วยหรือมีแค่คนเดียวเหมือนกับสมัยที่ผมประจำอยู่ในเวลานี้ จู่ๆอาจารย์พูดขึ้นว่า “สนใจเรียนภาษาจีนไหม”

ผมหันมองและตอบไปว่า คิดอยู่เหมือนกันครับแต่เคยไปถามที่โรงเรียนสอนภาษาจีนราคาค่อนข้างแพง และเรียนช่วงเช้าและบ่ายวันธรรมดาซึ่งไม่สะดวก และเล่าต่อว่า เคยไปหาที่เรียนวูซู(กังฟู)กับเพื่อชาวเยอรมันด้วยเจอราคาค่าเรียนเข้าไปก็ถอยออกเช่นกันมาหัดเล่นกันเองที่ฟิตเนสของซีอาร์ไอดีกว่า

“โรงเรียนสอนภาษาหรือสอนมวยจีนที่นี่ราคาค่อนข้างแพงกับชาวต่างชาติ” อาจารย์เอื้อพันธุ์ว่าและพูดต่อ ลูกศิษย์ของครูเองรับสอนภาษาจีนให้กับคนไทยและคิดราคาไม่แพง เขาจะได้เรียนภาษาไทยจากคุณชาติณรงค์ไปด้วยถือว่าแลกเปลี่ยนกัน ถ้าสนใจจะได้ติดต่อให้เอาไหม ผมกลับไปคิดดูที่อาจารย์บอกก็น่าสนใจดี ค่าเรียนไม่แพงแถมยังได้ความรู้มาพอพูดคุยกับคนจีนที่นี่ได้บ้าง และบางครั้งวันอาทิตย์ผมเบื่อกับการออกไปเตร็ดเตร่คนเดียวกลางกรุงปักกิ่ง  เย็นวันนั้นจึงโทรหาอาจารย์เอื้อพันธุ์และตอบตกลง อาจารย์นัดให้มาพบกับลูกศิษย์ ซึ่งก็คือว่าที่อาจารย์ของผมในช่วงบ่ายวันเสาร์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และถ้าพูดคุยตกลงกันเรียบร้อยวันรุ่งขึ้นก็เริ่มเรียนได้ทันที

เมื่อถึงวันนัดหมาย เรานัดกันที่หน้าประตูด้านทิศเหนือของมหาวิทยาลัย อาจารย์เอื้อพันธุ์บอกให้ผมมาเจอที่หน้าประตูมาถึงแล้วให้โทรศัพท์มาบอกจะออกมาหาเอง เพราะถ้าเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยคงหากันไม่เจอแน่ๆ มหาวิทยาลัยปักกิ่งกว้างใหญ่และมีตึกอาคารมากมาย ซึ่งก็จริงตามที่อาจารย์ว่า ผมนั่งรถไฟใต้ดินและต่อแท็กซี่ตามที่อาจารย์แนะนำ และมายืนรอที่หน้าประตูด้านทิศเหนือตามที่นัดหมาย จู่มีโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

“ขอโทษนะค่ะคุณชาติณรงค์พอดีมีธุระ.. งานด่วนออกมาไม่ได้ ให้ลูกศิษย์… เสี่ยวเจียว เออ… เจิ้งเจียว เขาจะออกไปหา คุณชาติณรงค์คุยกับเขาเลยนะค่ะ บอกที่อยู่กับเขาไว้ด้วย เขาจะได้เดินทางไปสอนถูก ได้ยินไหมคะ…” พูดจบอาจารย์เอื้อพันธุ์วางสาย ผมฟังพอจับใจความได้แต่สัญญาณไม่ค่อยดีนัก ท่าทางอาจารย์คงมีงานด่วนจึงออกมาไม่ได้ แต่ลูกศิษย์อาจารย์คือใครและคนไหนผมจะรู้ได้อย่างไร ผมได้แต่ยืนรอ

ประมาณ 15 นาทีผ่านไป ผมเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงมาที่ผมยืนอยู่เธอเป็นสาวร่างบาง ผิวเนียนสีน้ำผึ้ง ผมยาวประบ่า เมื่อเดินเข้ามาใกล้ผมมองเห็นใบหน้าเรียวรูปไข่ เธอยิ้มให้ กล่าวเป็นภาษาไทยสะเนียงคนจีน “สวัสดีค่ะ คุณชาติณรงค์ใช่ไหมคะ” ผมตอบไป “ใช่ครับ”

“ดิฉัน เจิ้งเจียว เป็นลูกศิษย์อาจารย์เกี้อพันธุ์คะ พอดีอาจารย์มีงานด่วนจึงให้ดิฉันมาแทน” หญิงสาวแนะนำตัว และพูดถึงรายละเอียดการเรียนการสอนภาษาจีน เท่าที่ผมจับใจความได้มี ดังนี้  การเรียนจะสอนจะเน้นการฟังและพูดข้อความและประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เรียนทุกวันอาทิตย์ อาทิตย์ละสองชั่วโมง ช่วงเวลาเช้าหรือช่วงบ่ายตามที่ผมกำหนด และจะสลับกันเดินทางโดยให้ไปสอนที่คอนโดที่ผมพักอาศัยกับที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และขอที่อยู่ที่คอนโดของผม

“ผมว่า ผมมาเรียนที่มหาวิทยาลัยทุกอาทิตย์ก็ได้ครับ” ผมบอกหญิงสาวแต่เจิ้งเจียวปฏิเสธ เธอบอกว่า “ไม่ได้ค่ะ ต้องสลับกันเดินทาง และจะได้เปลี่ยนบรรยากาศไปด้วย อาเจิ้งเดินทางได้สบายค่ะ คุณชาติณรงค์ไม่ต้องกังวล” พูดจบ ขอที่อยู่ของผมและนัดหมายกันเรียบร้อยก็ลากลับ

ผมยังงง เดินทางกลับคอนโดด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อาจารย์เกื้อพันธุ์โทรมาหาตอนเย็นก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก อาจารย์ถามว่า เสี่ยวเจิ้งให้รายละเอียดเรียบร้อยไหมและบอกที่อยู่ที่พักผมไปรึยัง ผมตอบไปว่าเรียบร้อยและย่ำว่า ให้ผมเดินทางไปเรียนที่มหาวิทยาลัยดีกว่า อาจารย์บอกว่า ไม่เป็นไรให้สลับกันไปจะดีกว่าจากนั้นก็วางสาย

วันรุ่งขึ้น ผมจัดแจงทำความสะอาดห้องพัก อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เตรียมน้ำผลไม้และขนมรอรับคุณครูสอนภาษาจีน และตั้งใจว่าให้ผ่านอาทิตย์นี้ไปก่อน อาทิตย์หน้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งก็จะขอเป็นคนเดินทางไปเรียนเอง ไม่ต้องให้คุณครูเดินทางมาให้ลำบาก แต่ความจริงคือ มันไม่เหมาะที่จะอยู่กับหญิงสาวสองต่อสองในห้องพักส่วนตัว

เวลาบ่ายโมง เสียงออดห้องพักดังขึ้น ผมเดินไปดูที่ตาแมว ใครกัน ไม่ใช่เสี่ยวเจิ้ง ผมเปิดประตูและว่า “หนี่ห่าว”

“สวัสดีครับคุณชาติณรงค์ ผมเจิ้นเจียงเป็นลูกศิษย์อาจารย์เกื้อพันธุ์มาสอนภาษาจีนครับ” ผมเงียบและพูดขึ้น “สวัสดีครับ แล้วคุณเสี่ยวเจิ้น” ชายหนุ่มหน้าเรียวผิวสีเข้มลักษณะเดียวกับเสี่ยวเจียวว่า “เสี่ยวเจียวเป็นน้องสาวผมเองครับ พอดีเมื่อวานผมมีงานด่วนเลยให้เสี่ยวเจียวออกไปคุยกับคุณชาติณรงค์แทนครับ”

อ่อ.. ผมถอนใจและเชิญคุณครูสอนภาษาจีนเข้ามาในห้อง และเชิญไปที่โต๊ะทรงกลมซึ่งใช้เป็นทั้งโต๊ะทำงานและทานข้าวของผม ขณะเดินไปอาเจิ้นพูดขึ้น “เห็นเสี่ยวเจียวว่า คุณชาติณรงค์จะเดินทางไปเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งทุกสัปดาห์เลยหรือครับ”

“ไม่เป็นไรครับ สลับกันดีกว่า จะได้เปลี่ยนบรรยากาศ” ผมตอบไป