ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤศจิกายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ชาคริต แก้วทันคำ |
เผยแพร่ |
ไนเจล วอร์เบอร์ตัน ให้ความหมายอย่างกว้างของคำว่า เสรีภาพในการพูด (free speech) เพื่อให้ครอบคลุมไม่เฉพาะคำพูดจากปาก (spoken word ซึ่งเป็นความหมายอย่างเคร่งครัดของคำว่า “การพูด”)
แต่จะหมายความรวมถึงการแสดงออก (expression) ในหลากหลายลักษณะ รวมถึงถ้อยคำที่เขียน (written word) ละครเวที บทภาพยนตร์ วิดีโอ ภาพถ่าย การ์ตูน ภาพวาดและอื่นๆ
ดังนั้น เพื่อที่จะเข้าใจตัวอย่างใดๆ ของการพูดโดยเสรีหรือการแสดงออกโดยเสรี เราจำต้องทำความเข้าใจว่าการแสดงความคิดเห็นนั้นเกิดขึ้นเมื่อใด เสนอต่อใคร ด้วยความตั้งใจหรืออย่างน้อยที่สุดก็ด้วยความคาดหมายว่าจะให้เกิดผลอะไร
ในบทความชิ้นนี้จะนำเสนอ “ปาก” ของ วัฒน์ วรรลยางกูร กับเสรีภาพในการพูด เรื่องสั้นใหม่ล่าสุดในวาระครบรอบ 40 ปี 6 ตุลา ของนักเขียนรางวัลศรีบูรพา ผู้หนีหมายจับศาลทหารฐานความผิดไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติที่ 5/2557 ตีพิมพ์อยู่ในเล่ม “ถ้อยเถื่อนแห่งอารยธรรม” ชายคาเรื่องสั้น ลำดับที่ 8
โดยมี มาโนช พรหมสิงห์ เป็นบรรณาธิการ
เรื่องสั้น “ปาก” ของ วัฒน์ วรรลยางกูร นำเสนอโดยให้ตัวละครหลัก “ฉัน” เป็นผู้เล่าเรื่องของตนเอง (I-narrator) มุมมองในการเล่าเป็นของตัวละครหรือผู้เขียนที่จะเล่าทุกสิ่งอย่างที่ประสบพบเจอหรือรู้สึกนึกคิดหรือนำเสนอปมความขัดแย้งภายในจิตใจของตนเอง
แต่เรื่องสั้นดังกล่าวมี “ฉัน” ในปัจจุบันของเรื่อง (Older-narrator-I) กับ “ฉัน” เมื่อสองปีที่แล้วก่อนหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรหรือสิบปีที่แล้ว เมื่อมีการทำรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 และสี่สิบปีที่แล้วกับเหตุการณ์วันที่ 14 และ 6 เดือนตุลา ซึ่งทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าตัวละคร “ฉัน” หรือผู้เขียน มีทัศนะแตกต่างกันอย่างไรเมื่อวันเวลาผ่านไป
นอกจากนี้ วัฒน์ วรรลยางกูร ยังใช้สัญลักษณ์ (symbol) ในเรื่องสั้นที่ชวนตีความผ่านการแฝงนัยเชิงสถานการณ์ (irony of situation) ทางการเมืองอีกด้วย
วัฒน์ วรรลยางกูร เล่าว่า “ฉัน” ในปัจจุบันเป็น “โรคตาประหลาด” ที่คนส่วนหนึ่งแสดงอาการรังเกียจและหวาดกลัวการติดต่อจึงหลีกลี้ออกนอกราชอาณาจักร ผ่านไปกว่าสองปีแล้วจึงมีเด็กหนุ่มติดต่อมาเพื่อจะให้ “ฉัน” พูดลึกๆ ถึงเหตุการณ์วันที่ 6
อาการตาประหลาดนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ (smybol) ในเรื่องสั้นที่ วัฒน์ วรรลยางกูร ใช้เพื่อให้ผู้อ่านตีความตามสถานการณ์เชิงวิพากษ์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีพนักงานต้องทำงานตามกฎตั้งแต่ 08.00-16.00 น. การเห็นโยนีหรือรอยยิ้มปรากฏบนหน้าผาก หรือองคชาตตรงทัดดอกไม้ เห็น “เขา” ของวีรชนผู้เลือกที่จะจดจำวันที่ 14 และไม่อยากจดจำวันที่ 6
“ฉันบอกเล่าเหตุการณ์ในอดีตกว่าสี่สิบปีที่ฉันเห็นมาด้วยตาประหลาด เพราะกูมีตาประหลาด ไม่ได้มีแต่ดวงตามืดบอด” (น.11)
จากข้อความข้างต้น ผู้อ่านจะสัมผัสถึงน้ำเสียงเย้ยหยันและขมขื่นของ “ฉัน” เมื่อ “ตาประหลาดสามารถเห็นปัจจุบัน มองเห็นอดีต มองเห็นอนาคต และไอ้การมองเห็นมากไปนี้เองทำให้ฉันไม่อาจอยู่ในราชอาณาจักรนั้นได้” (น.5)
อาจตีความได้ว่า เสรีภาพในการพูดของ “ฉัน” ถูกตัดทอน โดยไม่ต้องพิจารณาว่าเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ ไม่ว่าจะโดยทางกฎหมายหรืออาจโดยสิ่งที่เรียกว่าเผด็จการเสียงข้างมาก ซึ่งหมายถึงมุมมองของคนส่วนน้อยถูกทำให้เป็นเรื่องที่ไร้ความสำคัญ หรือแม้กระทั่งต้องเงียบเสียงลงจากความไม่พอใจของสังคม
โดยเฉพาะ “เหตุการณ์วันที่ 6 ที่พวกเขาเข้าใจนั้น แม้ว่าจะมีการรำลึกอยู่ทุกปี มีการพูดถึงกรณีเหตุการณ์ใช้เชือกแขวนคอ แล้วมีเก้าอี้เหล็กฟาดกับมีรองเท้ายัดปากศพ เขาพูดรำลึกกันอยู่แค่นี้ ไม่เห็นมีใครพูดอะไรที่มันลงลึกไปกว่านี้ได้…” (น.5)
หรือ “สำหรับคนที่ผ่านเหตุการณ์วันที่ 14 และสามปีต่อมาคือวันที่ 6 ฉันยืนยันว่าวันที่ 14 คือวันเตะหมูเข้าปากหมาป่า วันที่ 6 คือวันที่หมาป่าขย้ำลูกแกะ” (น.9) เป็นต้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 34 บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้น เฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน”
ในประเทศไทย เสรีภาพในการแสดงออกได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญหลายๆ ฉบับ ตั้งแต่ พ.ศ.2475 ถึงปัจจุบัน แต่ทุกครั้งที่มีการบัญญัติรับรองเสรีภาพในการแสดงออก ก็จะบัญญัติข้อจำกัดของการใช้เสรีภาพไว้ในเงื่อนไขต่างๆ ด้วย เช่น เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
แต่ในทางปฏิบัติ กฎหมายหรือกติการะหว่างประเทศเป็นเพียงหลักปฏิบัติเท่านั้น เพราะสุดท้ายหากรัฐบาลเลือกที่จะจำกัดด้วยเหตุผลตามเงื่อนไขต่างๆ และสิ่งที่สังคมนานาชาติทำได้แค่เพียงแสดงความเป็นห่วงหรือประณามเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ เสรีภาพในการพูดและการแสดงออก จะได้รับความคุ้มครองให้เป็นสิทธิพลเมืองของประชาชนหรือไม่ จึงอยู่ที่ความเข้มแข็งของประชาชนที่จะแสดงออกเพื่อยืนยันต่อรัฐว่าเสรีภาพในการพูดและแสดงออกนั้นเป็นสิทธิโดยชอบธรรม
ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องสั้น “ปาก” ของ วัฒน์ วรรลยางกูร ต่อการพูดถึงสถานการณ์ทั้งในและนอกราชอาณาจักร “เพราะเมื่อเห็นก็ย่อมคิด ย่อมรู้สึก ย่อมอยากจะพูด รู้ทั้งรู้เช่นนี้ ฉันเองก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองตาบอดได้” (น.6) มันจึงกลายเป็นอาการ “น้ำท่วมปาก” ที่สุดท้าย วัฒน์ วรรลยางกูร เลือกที่จะจบเรื่องสั้นแบบ “พูดไปทำไมมี”
กรณีดังกล่าวจึงสะท้อนสาระสำคัญของเสรีภาพในการพูดประเภทที่ควรค่าแก่การแสวงหาคือเสรีภาพที่จะพูดในเวลาใดก็ได้ที่คนเราสะดวกใจ และก็ไม่ควรเป็นเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความเห็นในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เสรีภาพนี้จึงมีขีดจำกัดอยู่
แต่อย่างไรก็ตาม การปกครองที่ปราศจากเสรีภาพในการพูดอย่างกว้างขวางนั้นปราศจากความชอบธรรมโดยสิ้นเชิงและไม่ควรเรียกว่าเป็นการปกครอง “แบบประชาธิปไตย”
จากมุมมองดังกล่าว ประชาธิปไตยต้องมีอะไรมากกว่าพันธกิจในการเลือกตั้ง การคุ้มครองเสรีภาพในการพูดอย่างกว้างขวางเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีในประเทศประชาธิปไตยก่อน จึงสมควรได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย
ทั้งนี้ หากปราศจากเสรีภาพในการพูดแล้ว ก็คงพูดไม่ได้ว่าเป็นการปกครองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างแท้จริง ซึ่ง โรนัลด์ ดวอร์คิน (Ronail Dworkin) กล่าวยืนยันจุดยืนแนวคิดนี้ว่า
“เสรีภาพในการพูดเป็นเงื่อนไขหนึ่งของรัฐบาลที่มีความชอบธรรม กฎหมายและนโยบายต่างๆ จะไร้ซึ่งความชอบธรรม หากไม่ได้มาจากการรับรองผ่านกระบวนการประชาธิปไตย และกระบวนการก็จะไม่เป็นประชาธิปไตยหากรัฐบาลสกัดกั้นไม่ให้บุคคลแสดงความเชื่อของตนว่ากฎหมายและนโยบายต่างๆ ควรเป็นอย่างไร”
เรื่องสั้น “ปาก” ของ วัฒน์ วรรลยางกูร ทิ้งท้ายข้อความสำคัญในตอนจบถึงคำถามและคำตอบต่ออาการตาประหลาดของ “ฉัน” ในปัจจุบันและมุมมองต่อเหตุการณ์ทางการเมืองของ “ฉัน” ในอดีตได้อย่างน่าใคร่ครวญว่า
“สรุปแล้วหมาป่าผู้ได้รับชัยชนะในวันที่ 14 และวันที่ 6 นี้คือใคร”
“อะฮึอะฮะบุบุแบ๊ะแบ๊ะเอ้ออ้าโออุ๊อุ๊ย”
…
“ปากพี่หายไปแล้ว”
ในที่สุด “ปาก” ของ วัฒน์ วรรลยางกูร ก็หายไป แม้เขากำลังพูดตอบคำถามนอกราชอาณาจักร ซึ่งเขามีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออก แสวงหา รับและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทุกประเภทไม่ว่าจะด้วยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษรหรือการตีพิมพ์ในรูปของศิลปะหรือโดยอาศัยสื่อที่ตนเลือก โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน แต่กลับเลือกที่จะเซ็นเซอร์ตนเอง (self censor ship) เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างความขุ่นเคืองใจแก่ใคร
อาจเท่ากับเป็นการยอมจำนนต่อสิ่งที่บางครั้งเรียกว่า “เฮกเตอร์ วีโต้” (heckler”s veto) หมายถึงแนวคิดที่ว่า หากมีใครสักคนที่อาจเป็นผู้ฟังของเรามีแนวโน้มจะเกิดความรู้สึกขุ่นเคืองใจในเรื่องที่เราพูด (หรือเขียน) เราก็ไม่ควรพูดในเรื่องนั้นๆ หรืออย่างน้อยที่สุดเราก็ควรตระหนักดีว่าไม่ควรพูด
หรือ วัฒน์ วรรลยางกูร จะคิดเห็นอย่างที่ เคนาน มาลิก (Kenan Malik) กล่าวไว้ว่า “เสรีภาพในการพูดซึ่งมีให้สำหรับทุกคน เว้นแต่พวกหัวดื้อยึดมั่นถือมั่นนั้น ไม่อาจถือว่าเป็นเสรีภาพในการพูดได้เลย…”
สรุปได้ว่า เสรีภาพในการพูดไม่ใช่เรื่องของบทสนทนาส่วนตัวหรือการรำพึงรำพันเพียงคนเดียว เสรีภาพในการพูดมักเกี่ยวข้องกับการสื่อสารสาธารณะประเภทใดประเภทหนึ่ง เช่นการพิมพ์หนังสือ บทกวี เรื่องสั้น บทความ เป็นต้น เสรีภาพในการพูดนั้นมีความสำคัญเป็นพิเศษกับนักเขียนทั้งประเภทบันเทิงคดีและอื่นๆ เพราะแก่นแท้ในกิจกรรมของคนเหล่านี้คือการสื่อสารความคิดเห็นสู่สาธารณะ
สำหรับนักเขียนแนวบันเทิงคดี เช่น วัฒน์ วรรลยางกูร การตั้งข้อจำกัดต่อความคิดที่สามารถสื่อสารออกไปได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางอุดมการณ์ การเมือง ศาสนาหรือเหตุผลอื่นใด อาจเป็นการตัดขั้วหัวใจในความคิดสร้างสรรค์ได้
สุดท้ายแล้ว การที่ วัฒน์ วรรลยางกูร เลือกตอนจบแบบหักมุม (twist ending) โดยให้ “ปาก” หายไป อาจเป็นทัศนะที่แฝงนัย (ironic vision) ของตัวละครเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ตัวละคร “ฉัน” หรือผู้เขียนรู้กับสิ่งที่ผู้อ่านรู้
ประการแรกคือ แม้ “ปาก” จะหายไปหรือไร้คำพูด แต่ยังมีสิทธิและเสียงในสังคมระบอบประชาธิปไตย เพราะไม่มีใครห้ามไม่ให้แสดงออกหรือปิดกั้นโอกาสในการรับรู้ รับฟัง อ่านและมองดูการแสดงออกอย่างเสรีของตนและบุคคลอื่น
ประการต่อมา เพื่อเป็นการป้องกันหรือหลีกเลี่ยงการสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับคนในสังคมนั้นๆ และไม่ให้เป็นการแสดงออกโดยประทุษวาจา เพราะอาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท
ซึ่งสุดท้ายจะส่งผลให้เขาอาจต้องหลีกลี้อยู่นอกราชอาณาจักรต่อไปและคงประสบกับความลำบากในการใช้ชีวิตอันเนื่องมาจากการแสดงความคิดเห็นบางประเภทนั่นเอง
บรรณานุกรม
คณะเขียน. (2559). ชายคาเรื่องสั้น ลำดับที่ 8 ถ้อยเถื่อนแห่งอารยธรรม. กรุงเทพฯ : เขียน.
ไนเจล วอร์เบอร์ตัน. (2560). เสรีภาพในการพูด : ความรู้ฉบับพกพา. กรุงเทพฯ : โอเพ่นเวิลด์ส.
อิราวดี ตลังคะ. (2545). ศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่าเรื่อง. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์