เรื่องสั้น : ศิลปิน & ศิลปะ / ปิติ ระวังวงศ์

ปิติ ระวังวงศ์

 

ศิลปิน & ศิลปะ

 

เขาเป็นศิลปิน ทำงานศิลปะทั้งเขียนหนังสือ วาดรูป ถ่ายภาพ และงานอื่นๆ อีกสารพัดรูปแบบ ในบางครั้งก็ทำงานออกแบบเวทีและอุปกรณ์ประกอบฉากการแสดง บางคราวรับบทเป็นตัวประกอบในการแสดงหลากหลายบทบาท พบเจอกันในแต่ละครั้ง จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยซ้ำเดิม บางคราวเขาไว้ผมยาว หนวดเครารุงรัง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดเดิมๆ ไม่ผ่านการซักรีด บางครั้งก็ตัดผมเกรียน หรือไม่ก็โกนหัวโล้นเลี่ยน

“ผมใช้ร่างกายเป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะ” เขาพูด เมื่อผมจับจ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เมื่อเข้าใจศิลปะมากขึ้น คุณก็จะเข้าใจความหมายที่ศิลปินต้องการจะสื่อสาร”

เขาพยายามอธิบายต่อ ผมมองสบตา พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

 

เมื่อหลายวันก่อน เขาส่งข้อความมาทักทาย ออกปากชวนไปเยี่ยมเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งซึ่งเข้ารักษาอาการเจ็บป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ผมได้ข่าวอาการเจ็บป่วยของเพื่อนคนนี้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่คิดว่าอาการจะหนักหนาสาหัสเหมือนอย่างที่เขาเล่าให้ฟัง

“ไปดูใจมันหน่อย แลท่าว่าไม่น่าจะรอด”

ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เพิ่งตรวจพบเชื้อร้ายในร่างกาย แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังดูไม่เหมือนอย่างคนป่วย ต่างกับเพื่อนคนที่กำลังจะไปเยี่ยม ที่ใส่ใจและดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นอย่างดี แต่มะเร็งร้ายก็ยังล่วงล้ำมากล้ำกราย กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว

“กูบอกแล้ว ว่ากัญชามีสรรพคุณช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งและทำให้เนื้อร้ายเหี่ยวลงลดได้”

ครั้งหลังสุดที่เจอกัน เขาเคยชวนผมและเพื่อนคนที่ป่วยพูดคุยถึงเรื่องนี้

“ต้องผ่านกระบวนการที่ไม่ใช่สูดควันจากบ้องเหมือนอย่างที่คุณทำ”

ผมโต้แย้ง แต่ทว่า เขาก็สวนกลับตามแบบฉบับของเขา

“มันเป็นสันทนาการ ปลุกให้ความคิดอ่านทางศิลปะคุกรุ่นและพลุ่งพล่าน”

 

วันที่ไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล ผมนัดเจอกับเขาที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ ตอนที่ผมมาถึงร้าน เขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ นุ่งกางเกงยีนส์สีเดียวกันกับเสื้อ ผมยาวมัดมุ่นเป็นมวยรวบไว้ที่ท้ายทอย ท่าทางเข้มขรึม แลดูหล่อเหลา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้ซึ่งหนวดเครา

“ไปเยี่ยมให้กำลังใจคนป่วย แต่งตัวยังกับไปงานศพ” ผมทักทาย มองจ้องเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนอย่างที่เคยมอง

“มรณานุสติ” เขาพูดสั้นๆ ผมได้แต่นิ่วหน้ามอง ตัดใจที่จะไม่พูดอะไรต่อ ในขณะที่เขานั่งรอฟังอย่างตั้งใจ พนักงานบริการเดินเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ ผมสั่งคาปูชิโนร้อน เขาสั่งโอเลี้ยงยกล้อ พนักงานบริการถามซ้ำให้แน่ใจ ก่อนเดินกลับออกไป เมื่อเขาพยักหน้ายืนยัน

ตั้งแต่รู้จักคบหากันมา หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาแสดงออกและประพฤติปฏิบัติ มักจะมีความหมายและแง่มุมทางศิลปะแฝงเร้นอยู่ในสิ่งนั้นเสมอ

 

ในร้านกาแฟ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เพิ่งเดินทางมาจากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ไปทำงานเป็นครูอาสาสมัครสอนวิชาศิลปะให้กับเยาวชนในพื้นที่ เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิการกุศลแห่งหนึ่ง นานร่วมครึ่งปีที่เขาลงไปทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น

“ต้องลงไปดู ให้รู้เห็นด้วยตัวเอง ทุกคนที่นั่น เขาก็อยากพูด อยากบอกในสิ่งที่ต้องการ”

เขาหยุดพูดชั่วครู่หนึ่ง ล้วงควักบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“เอาอย่างนั้นเลยหรือ” ผมโพล่งถาม เมื่อเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่เขาล้วงออกมาเป็นใบกระท่อม

“กินเป็นยา ที่นั่นเขาแนะนำมา ใช้ให้ถูกทาง มันก็มีคุณประโยชน์” เขาอ้างเอ่ย ก่อนฉีกรูดใบไม้สีเขียวออกจากก้าน แล้วยัดใส่ปากเคี้ยว ยื่นส่งส่วนที่เหลือให้ผม พยักหน้าชวนเชิญ ผมส่ายหน้าปฏิเสธ เขาดึงมือกลับใส่คืนลงในกระเป๋า

คนอื่นที่นั่งโต๊ะใกล้ๆ หันมามองด้วยสายตาแปลกๆ

 

ออกจากร้านกาแฟ เขาอาสาขอทำหน้าที่เป็นคนขับรถ คราวแรกผมออกอาการลังเล เพราะเท่าที่รู้เห็น เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ เขานิยมที่จะใช้บริการขนส่งสาธารณะ ทั้งรถยนต์ รถไฟและเครื่องบิน หรือนั่งเป็นผู้โดยสารมากกว่าที่จะขับขี่ด้วยตัวเอง

“ผ่านการทดสอบโดยสำนักงานขนส่งอย่างถูกต้อง ใบขับขี่ที่มีอยู่นี้ไม่ได้ซื้อมา” เขาการันตี ผมยื่นส่งกุญแจให้ แล้วเดินนำหน้ามุ่งตรงไปที่รถ

“อยากรู้เหมือนกันว่าคนบ้านนี้เมืองนี้ มารยาทในการใช้รถใช้ถนนอยู่ในระดับไหน”

เหมือนอย่างที่เคยบอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมักจะมีเหตุผลอธิบายความอยู่เสมอ เมื่อหลายปีก่อน ผมกับเขาเคยใช้ชีวิตหัวหกก้นขวิด สำเริงสำราญอยู่ในเมืองหลวง พักอาศัยอยู่ในบ้านเช่าหลังเดียวกัน คนที่รู้จักมักคุ้นหลายคน ต่างพากันพูดว่าผมคบหาอยู่กับคนบ้า ซึ่งในบางครั้งผมก็อดคิดและสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าระหว่างเขากับผมใครบ้ากว่ากัน

“มันต่างกันยังไง ดีหรือบ้าอย่างที่เขาพูดกัน”

ครั้งหนึ่งเขาเคยตั้งคำถามให้ผมตอบ

“คนบ้ามักจะบอกว่าตัวเองไม่ได้บ้า ต้องรักษากินยาหาหมอ”

คำตอบแบบข้างๆ คูๆ ของผม ทำให้เขาอดใจไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากโต้แย้ง ซึ่งผมก็เห็นพ้องไปกับสิ่งที่เขาพูด

“บ้าเขียนหนังสือ วาดรูป เล่นดนตรี เหมือนอย่างที่เราเป็นกัน อาการมันรักษาหาย หรือทำให้บรรเทาลง ก็แค่ได้ทำในสิ่งเหล่านั้น”

 

ตอนที่ขับรถแล่นออกมาใกล้ๆ จะถึงบ้านพักผู้ว่าฯ แล้วจู่ๆ เขาก็ชะลอความเร็วลง พร้อมๆ กับเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว แล้วค่อยๆ เคลื่อนรถเข้าชิดซ้าย

“ดูอะไรนั่น” เขายกมือชี้นิ้ว เมื่อจอดหยุดรถ ผมทอดสายตามองออก เห็นชายคนหนึ่งผมยาวรุงรัง แต่งตัวด้วยเสื้อและกางเกงที่ขาดวิ่น สกปรกมอมแมม จนมองไม่เห็นสีเดิมของเนื้อผ้า ชายคนนั้นยืนอยู่ที่หน้ารั้วบ้านพัก บนบ่าข้างหนึ่งสะพายย่ามใบใหญ่ ดูพะรุงพะรัง ตรงพื้นฟุตปาธมีลังกระดาษและกระสอบใส่สัมภาระวางอยู่ใกล้ๆ ชายคนนั้นล้วงกระดาษออกจากย่าม พับกระดาษแผ่นใหญ่ให้เล็กลง แล้วหย่อนใส่ตู้รับเรื่องร้องทุกข์ที่แขวนติดอยู่กับรั้วกำแพง โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายหนึ่งยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ

“นี่แหละ ศิลปะ มันเป็นเพอร์ฟอร์มานซ์” เขารำพึงรำพัน มองสิ่งที่เห็นตรงหน้าอย่างชื่นชม

“ฉันเขียนจดหมายไปหลายฉบับ หกบับ เจ็ดบับ ไฉนเธอกลับทำเฉย”

ผมฮัมเพลงออกมาเบาๆ อย่างครึ้มอกครึ้มใจ

“แล้วคุณก็เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังพยายามสื่อสาร”

เขาหันมองมาทางผม แล้วยิ้มหัวอย่างอารมณ์ดี…