เรื่องสั้น | เธอแค่อยากกางขา

มันจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าตอนนั้นแม่ของเธอไม่ดื้อดึง ไม่ทำตัวขวางโลก ชีวิตเธอจะวุ่นวายแบบนี้มั้ย แต่แม่จากไปแล้ว จากไปแบบกะทันหัน เธอรู้สึกเหว่ว้า โดดเดี่ยว ความล้มเหลวในชีวิตที่เธอต้องแบกไว้ อาจจะไม่ยุติธรรมกับแม่เท่าไหร่นัก แต่นึกถึงทีไร แม่ก็ดูจะมีเอี่ยวทุกที

ในวัยยี่สิบสาม เธอผ่านการมีคู่ชีวิตช่วงสั้นๆ มันเศร้านะ ผิดหวังกับตัวเองที่ประคับประคองมันไม่ได้ แต่ก็พยายามแล้ว หลังจากนี้ต้องอยู่ลำพัง กลับสู่ความปกติแบบเดิมให้เร็วที่สุด แต่ก็เริ่มรู้สึกว่าความไม่ปกติจากภายนอกกำลังรุกรานชีวิตจนน่ารำคาญใจ

หลังหย่าร้างไม่นาน มีผู้ชายจำนวนหนึ่งมาตามจีบ ส่วนใหญ่มาขอให้เป็นภรรยาคนที่สอง ที่สามหรือที่สี่ เธอบอกปัด มีทั้งรุ่นใหญ่ บางคนเป็นผู้นำชุมชน ผู้นำจิตวิญญาณ หน้าที่การงานดีพร้อม จะอะไรก็ช่าง มันใช่เวลามั้ย เธอนึกสงสัย คนพวกนี้เป็นอะไรกันหมด เธอรู้มาว่าหญิงสาวบ้านข้างๆ ตกลงปลงใจกับคนที่เธอเพิ่งปฏิเสธ ถึงอย่างนั้นเธอยินดีและอวยพรให้หญิงสาวคนนั้นมีครอบครัวที่เปี่ยมสุข

เธอกำลังหาทางกลับบ้าน บ้านในความหมายของที่พักใจ ในช่วงเยียวยา การได้ทำครัวและการได้ขลุกตัวปรุงอาหารเมนูใหม่ๆ (เพื่อตัวเอง) สูดกลิ่นเตาควัน วางกระทะ หยิบนั่น ชิมนี่ ทำให้แต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้เงินเก็บที่มีอาจเหลือไม่มากนัก แต่เธออยากพักอีกสักหน่อย อยากสูดหายใจยาวๆ ให้เต็มปอด ตั้งใจว่าต้นเดือนหน้าเธอจะกลับไปหางานทำ เพื่อนที่เคยร่วมงานด้วยก็เปรยไว้ หากเธออยากกลับมาก็ยินดีที่จะคุยกับหัวหน้า เพราะก่อนที่เธอจะลาออกไปเป็นแม่บ้านที่ดีของสามี เธอก็เป็นคนที่ทำงานเก่งคนหนึ่ง

เธอยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงคำว่า “แม่บ้านที่ดีของสามี” คงเพราะตอนนั้นเขามาขอร้องให้เธอลาออกพลางคุยโวว่าลำพังงานที่เขาทำคนเดียวก็ดูแลเธอได้ทั้งชีวิต เธอซึ้งใจ แต่ต่อมาเธอก็ได้เรียนรู้ว่าเจตนาดีไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างราบรื่น บ่อยครั้งที่มันนำผลร้ายตามมาอย่างคาดไม่ถึง อุปสรรคต่างๆ เริ่มถาโถม ชีวิตคู่ค่อยๆ เผยความเหี่ยวเฉา เอกสารกองเต็มโต๊ะ จดหมายทวงค่างวด เมื่อเห็นท่าไม่ดีเธอขอกลับไปทำงาน เขาไม่เห็นด้วย ทำแบบนี้เหมือนหยามกัน เขาหัวเสีย เธอเถียง ไม่ใช่เรื่องหยามไม่หยาม แต่คือการช่วยกันให้ไปต่อ เขายิ่งหัวเสียกว่าเก่า สั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้เธอออกไปไหน เธอยอมกลืนมันลงไปก่อน รอให้เขาสงบ คนที่เพิ่งถูกหมัดฮุกของชีวิตเสยเข้าที่ปลายคางอาจมึนงงอยู่บ้าง แต่เวลาผ่านไปเหมือนสมองยังกระทบกระเทือน เสียงปิดประตูดังปึงปัง เสียงโครมคราม หงุดหงิดกับทุกเรื่องทุกอย่าง ฉุนเฉียวราวกับเธอคือตัวซวยในบ้าน นิ่งไว้ เธอยืนกอดอกและดูความดื้อรั้นของเขาได้สักพัก จนได้เห็นน้ำตาวันที่เขาร้องไห้ฟูมฟายเมื่องานใหญ่ที่เขาหมายมั่นปั้นมือได้หลุดลอยไป เขาจ่อมจมกับความทุกข์ ความเก่งกาจที่มีค่อยๆ ถูกดูดกลืนเข้าไปยังผนังบ้านที่เขาเอาแต่จ้องมองทั้งวัน เป็นภาพชวนหดหู่และเธอไม่อยากเห็นมันในบ้านหลังนี้ เธอจึงใช้เงินเก็บไปปัดกวาดหนี้ที่เขาก่อและไม่ใช่การร้องขอ เธอบอกเขาไปตรงๆ ถึงเวลาที่เธอต้องกลับไปทำงาน แต่เขายังไม่ยอมและสัญญาว่าจะหาเงินมาชดใช้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เขาอยากดูแลเธอให้ดีที่สุด แต่เธอต้องมีชีวิตอยู่ในนี้ เมื่อเธอเป็นของเขา โลกข้างนอกจึงไม่ใช่ของเธออีกต่อไป บ้าไปแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าเขาคือคนหนุ่มไฟแรงคนนั้น มันไม่ใช่ เธอค้าน เขายืนยันหนักแน่นว่านั่นก็ไม่ใช่ครอบครัวในแบบที่เขาอยากให้เป็น ดูเหมือนความคิดจะสวนทาง เกิดเป็นรอยรั่ว ซึมลึก

ในที่สุดเรือลำน้อยค่อยๆ จม ครอบครัวหนึ่งไปไม่ถึงฝั่ง

ในช่วงเวลาแย่ๆ ดอกไม้ในใจเหี่ยวเฉา น่าแปลกที่สิ่งหนึ่งเริ่มมีชีวิต ทั้งที่มันน่าจะตายซากมานานแล้ว ย้อนไปครั้งนั้นในวัยแตกเนื้อสาว เธอยืนสำรวจเรือนร่างหน้ากระจก มองต่ำลงมา แม่เคยบอกไว้ มันคือสิ่งมีชีวิตที่ถูกมองข้าม ถูกทำให้สูญพันธุ์ แต่วันหนึ่งอาจมีใครสักคนทำให้มันมีชีวิตชีวา แต่แม่คงคาดการณ์พลาดไป ชายหนุ่มที่เธอวาดหวังก็ปลุกมันไม่ได้ นึกถึงคืนนั้นก็แปลกดี เขาดูตกใจนิดหน่อยตอนเธอบอกว่ามันยังอยู่ อยู่แบบตายซาก ตายซากเหรอ เขาเหมือนพึมพำกับตัวอง เหมือนเขาไม่ได้เตรียมใจมาเจออะไรแบบนี้ เธอนอนอยู่ตรงหน้าเขา จะถอยเพราะเรื่องแค่นี้เหรอ เธอพนันว่าคงไม่ พิธีกรรมร่วมรักจึงเริ่มต้นและจบลงและเริ่มใหม่ เขาถามเธอในรุ่งเช้า มีใครรู้เรื่องนี้อีก เธอคิดว่าคงไม่ เขากำชับว่าดีแล้ว คนอื่นรู้คงไม่ดีเท่าไหร่

“รู้อะไรมั้ย เธอไม่ตัดมันออก”

“จริงเรอะ”

“จริงสิ”

“แล้วมันยังมีชีวิตอยู่มั้ย”

“ได้ยินมาว่า ตายสนิท”

“ฮ่าๆๆๆ”

มีเสียงซุบซิบนินทาเกิดขึ้นตรงหน้า เธอพยายามมองผ่านและเลือกซื้อของต่อไป

“เห็นมั้ย ถึงไม่ตัด พระเจ้าก็ให้มันตายซาก”

“โตมาแบบไหนกัน แล้วผู้ชายที่ไหนจะรับได้”

พอกันที เธอวางของกลับที่เดิมและสบตากับเจ้าของเสียงสามสี่คนตรงหน้า

“มีอะไรก็พูดกับฉันตรงๆ สิป้า”

“ไม่มี้ ไม่มี ใครพูดถึงเธอเรอะ”

เธอเบื่อชาวบ้านพวกนี้ เบื่อความจอมปลอม แต่ป่วยการที่จะต่อล้อต่อเถียง เธอยอมหันหลังให้เรื่องหยุมหยิม นึกถึงแม่ ตั้งแต่เด็กๆ แม่ก็ไม่ใช่คนประเภทที่ยอมใครง่ายๆ แต่มันก็แลกมาด้วยการปะทะคารม ต้องหัวเสียไปกับมัน บางครั้งแม่ก็คุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่และก็สาดอารมณ์ใส่เธอ

ก่อนที่แม่จะตั้งสติและหันกลับมากอดเธออีกครั้ง

จนข่าวคราวไปถึงหูเพื่อนสนิท ในวันที่หล่อนแวะมาที่บ้าน ทำเป็นชวนคุยเรื่องชีวิต (อีเพื่อนตอแหล) เธอโตพอจะสังเกตว่าหล่อนกำลังซ่อนความสงสัย เธอไม่รอให้เพื่อนอ้อมโลกและทำในสิ่งที่หล่อนคาดไม่ถึง

หล่อนส่งเสียงกรี๊ดและเอามือป้องปากเมื่อเห็นผ้าถุงของเธอกองอยู่บนพื้น

“เห็นว่าเป็นเพื่อนกันมานาน” เธอยียวน ก่อนความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว

“ถอดด้วยกันมั้ย”

“จะบ้า”

“ทีฉันยังไม่คิดมาก”

“ฉันไม่ได้ขอสักหน่อย อยู่ดีๆ ก็โชว์ซะงั้น”

“เบื่อพวกอ้อมโลก”

“เธอนี่ร้ายกาจชะมัด” หล่อนยิ้มเขินๆ

“ว่าแต่มันรู้สึกยังไงบ้าง”

“ตอนนี้ก็เย็นๆ หน่อย”

“ไม่ใช่”

“รู้แหละ ว่าหมายถึงอะไร”

หล่อนจ้องมองมันสลับกับมองหน้าเธอ

“มันแปลกยังไงเรอะ” เธอสงสัย

หล่อนขมวดคิ้ว

“อยากรู้ว่ามันมีชีวิตอยู่อีกมั้ย?” เธอดูดคำถามออกมาจากแววตาหล่อน

หล่อนยิ้ม

เธอจึงทำให้มันเคลื่อนไหว

หล่อนดูตื่นตาตื่นใจ

“แล้วมันไม่แบบ…รู้สึกหวิวๆ บ้างเรอะ”

เธอดึงผ้าขึ้นมาสวมใส่ “เชื่อมั้ยว่ามันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน คิดว่ามันตายแล้วซะอีก ตอนแต่งงานก็ลุ้นว่าสามีจะปลุกมัน ที่ไหนได้ แห้งสนิท แต่ไม่รู้ยังไงหลังจากเลิกกัน วันหนึ่งมันเริ่มสั่นแปลกๆ ยิ่งตอนที่โกรธหรือหงุดหงิดมากๆ ห้ามยังไงก็ไม่ยอมหยุด แล้วพวกชาวบ้านมันก็เอาเรื่องนี้ไปนินทา หาเรื่องให้เธอหงุดหงิดได้ทุกวี่ทุกวัน มันเลยตื่นบ่อยและเธอเพิ่งเข้าใจในความรู้สึกนั้น น่าแปลกดีเหมือนกัน เธอไม่ชอบหรอกนะที่ต้องวีนต้องเหวี่ยง แต่พอมันยิ่งสั่นกลับทำให้เธอยิ่งสนุกกับชีวิต”

“นึกภาพไม่ออกใช่มั้ย”

“ใครจะไปนึกออก ของฉันมันหายไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้”

“เวลามันสั่นนะ อืม… อารมณ์เหมือนขึ้นรถไฟเหาะเบรกแตก”

“ขนาดนั้นเลย”

แล้วทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกัน

เธอได้กลับมาทำงานที่เดิมสมใจ รู้สึกขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่เป็นธุระจัดการ คงต้องเคาะสนิมออกไปบ้างแต่ทีมงานที่น่ารักก็ทำให้เธอมั่นใจว่าจะผ่านไปด้วยดี แม้จะมีบางสายตาฉายแสงประหลาด แต่เธอก็พร้อมเข้าใจ วันแรกเธอเดินถือแฟ้มยิ้มทักทายทุกคน รู้สึกดีเมื่อได้เห็นโต๊ะทำงานตัวเดิม (ขอพลังและความมุ่งมั่นจงกลับมาอีกครั้งด้วยเถอะ) เธอจัดวางของ กล่องปากกา แฟ้มเอกสาร กระดาษโน้ต มีกระถางแค็กตัสเล็กๆ วางอยู่มุมโต๊ะใกล้บานหน้าต่าง ค่อยๆ โตนะ เธอยิ้มให้ เอาละ มาดูซิว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง เธอหยิบกระดาษโน้ตมาอ่านทวน พลันเสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

“วันนี้โกรธใครมาหรือยัง” เพื่อนก่อกวน

“ไม่อยากโกรธ” เธอพิมพ์ตอบ

“ฮ่าๆ งั้นก็อดขึ้นรถไฟเหาะ”

“ขึ้นมากๆ ก็อ้วกได้นะ”

“โอเค เข้าเรื่องละ”

“รีบๆ พิมพ์หรือโทร.มาก็ได้”

“เมื่อกี้สามีเก่าเธอทักมา”

“บล๊อกไปซะ”

“ไม่คิดสักนิดเหรอ”

“ไม่อ่ะ”

“จบไวจัง”

“ตามนั้น”

เพื่อนจบการสนทนาด้วยการส่งสติ๊กเกอร์ “กอด” เธอตอบกลับด้วยรูป “หัวใจ”

เธอวางมือถือไว้บนโต๊ะ ทบทวนความรู้สึกและพบว่าเธอไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์สักนิด แค่ทุกอย่างระหว่างเธอกับเขามันจบไปแล้ว ต่างคนต่างอยู่ ยังอวยพรให้เขาเจอคนใหม่ที่เข้ากันได้ เธอก็ต้องอยู่กับความโดดเดี่ยวจนกว่าจะเจอคนที่ใช่ หรือไม่ก็อาจจะชินกับความโดดเดี่ยวต่อไป คิดๆ ดู ชีวิตเธอกับแม่เหมือนรถไฟที่วิ่งสวนทาง พ่อจากแม่ไปเพราะวัณโรคตั้งแต่แม่ตั้งท้องและเธอได้ทำความรู้จักพ่อจากรูปถ่าย แม่เคยเล่า ตอนนั้นแม่ยังสาว มีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบตามสูตร แต่แม่ก็บอกปัด ใช้ข้ออ้างว่าวันๆ เหนื่อยกับการทำงานและเลี้ยงลูก แม้จะมีคนเสนอให้เป็นแม่บ้านมีกินมีใช้ไม่ต้องทำงานงกๆ แค่บำเรออารมณ์ให้ก็พอ แม่ไล่พวกนั้นออกจากบ้านหมด แม่เลี้ยงเธอจนโตและเลือกอยู่กับความโดดเดี่ยว ตอนเธอออกไปเรียนมหา”ลัย เธอถามแม่ว่าเหงามั้ย แม่อยู่ได้สบาย บทสนทนาทางโทรศัพท์ดูซ้ำซากจำเจ ทำอะไรอยู่ เป็นยังไงบ้าง ไม่ต้องห่วงทางนี้ เรียนให้จบก็พอ แม่ย้ำอย่างนั้น แต่จบมาไม่ทันไรเธอก็อยากจะแต่งงาน แม่ดูตกใจและพยายามเลียบเคียงถามไถ่ว่าคิดดีแล้วใช่มั้ย เธอไม่ลังเลสักนิด แม่ดูลำบากใจแต่รู้ว่าคงห้ามไม่ได้ ตอนนั้นเธอรัก รัก และรักเขาสุดหัวใจ เขาคือรุ่นพี่ชมรมที่คอยเอาใจใส่ดูแลทุกอย่าง เป็นสุภาพบุรุษที่มีเหตุผล (ทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้) อาจเพราะถูกเลี้ยงโดยแม่คนเดียว เธอจึงอยากมีครอบครัว อยากเห็นตัวเองอยู่ในบ้านที่มีพ่อ-แม่-ลูกพร้อมหน้า ตอนเด็กเธอไปทะเลกับแม่และมองไปที่ครอบครัวอื่น เธอรู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างที่หายไป ตั้งแต่เล็กจนโต ภาพที่เห็นประจำคือแม่นั่งอยู่มุมหนึ่งของบ้าน ไม่เคยย้ายไปไหน แม่ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองบ้างหรือยังนะ เธอสงสัย เธอไม่อยากเป็นแบบนั้นเลย ติดอยู่ในโลกใบเก่าจนถึงวันสุดท้าย จนมันผ่านไป จนมันแตกสลาย

จนเวลาล่วงผ่านอุโมงค์ที่ซึ่งรถไฟขบวนของเธอกับแม่สวนทางกัน ในความมืดมิดนั้น เธอเริ่มเข้าใจ

เธอแค่อยากกางขา อยากเปล่งเสียง อยากเต้นรำในท่วงทำนองชีวิต ในความขาดพร่องที่รอวันเติมเต็ม ในทุกเช้าวันใหม่กับตัวเองและการปลดปล่อยอารมณ์จากโซ่ตรวนทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ทุกความรู้สึก เธอควรได้แสดงออก ที่ผ่านมากับการต้องกดทับมันไว้เพื่อรักษาคุณค่าทางสังคมหรือเพื่ออะไรสักอย่างสำหรับคนอื่น พอกันที แม้มิอาจย้อนไปแก้ไข เธอกุมคำถามนั้นมาทั้งชีวิต จนแม่จากไป เธออยากถาม ทำไมแม่ไม่ตัดมันทิ้งเหมือนคนอื่นๆ เขาทำกัน น่าเสียดายที่แม่ไม่ทันได้เห็นมันเริงระบำ บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ ผ่านความสับสนในช่วงวัยแห่งการเติบโต ทำไมแม่ไม่เริ่มต้นใหม่กับใครสักคน ที่สุดแล้วแม่รักพ่อมากเกินกว่าจะหาใครมาแทนหรือแม่เกลียดพ่อเข้าไส้จนขยาดเกินกว่าจะมีคนใหม่ เป็นปริศนาตลอดมา เพราะระยะห่าง เพราะกำแพงที่สูงชัน เพราะเราไม่เชื้อเชิญให้ใครต่อใครได้บอกเล่าอารมณ์ที่แท้จริง มันคือความเงียบที่ส่งทอดจนกลายเป็นเงาที่ตามหลอกหลอน ผ่านการบอกเล่า จารึก ดัดแปลง ฉีกทิ้ง เขียนใหม่ ผ่านยุคสมัย ให้กดมันไว้ เหยียบมันไว้ ถ้าตัดมันออกได้ก็จงตัดออก อย่ารู้สึก (นอกจากกลัว) สงวนไว้ให้คนที่แข็งแรงกว่าเถอะ อารมณ์แบบนั้น วิถีแบบนั้น แววตาคึกคะนอง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ฝ่ามือหยาบกร้านที่คอยแต่จะดึงไอ้นั่นออกมา จนมันค่อยๆ พองโต เขาดูสนุกที่เห็นมันมีชีวิต สนุกที่ได้กดหัวเธอให้จมลงบนหมอน เธอพยายามพลิกใบหน้ามาสูดอากาศหายใจ พลางหันไปเห็นเงาบนกำแพงค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น แต่ที่นอนตายซากคือตัวเธอ หลับตาๆ เดี๋ยวก็จบ เธอปลอบตัวเองแบบเดิมทุกครั้ง เปิดให้ร่างกายรับแรงกระแทก แต่ปิดหัวใจไม่ให้รับแรงกระเทือน ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง ก่อนเสียงคำรามและลำตัวเขาจะสั่นกระตุกเหมือนกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน ไม่จำเป็นที่จะเข้าใจความรู้สึกแบบนั้น รอให้ทุกอย่างผ่านไปและรอจนเสียงกรนดังพอที่จะกลบเสียงสะอื้นเบาๆ จากอาการเจ็บแสบเพราะความแห้งผาก แต่เธอยังพอรับได้ คนเราอาจไม่ได้เกิดมาเพื่อปรนเปรอคนได้เก่งทุกมุม ทุกเหลี่ยม เรื่องอย่างว่ายังมีเวลาเรียนรู้ มันจึงเล็กน้อยหากเทียบกับการที่เขาคิดจะขังเธอในบ้าน ห้ามออกไปไหน ห้ามทำงาน เท่ากับห้ามไม่ให้เธอมีชีวิต นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ชวนหงุดหงิดใจทุกครั้ง อารมณ์โกรธค่อยๆ พวยพุ่ง เหมือนน้ำในกาที่อุณหภูมิค่อยๆ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น น้ำยิ่งเดือดพล่าน เธอสัมผัสได้ ไปต่อหรือพอแค่นี้ สัญญาณเตือนแว่วมาแล้วและโดยไม่ทันตั้งตัว ทำเอาเธอต้องเป่าปากและพยายามนั่งตัวตรง เธอเหลือบมองซ้าย มองขวา ก่อนบิดตัวแต่พองาม

“กลับบ้านกันเถอะ วันแรกไม่ต้องขยันมากนักหรอก” เพื่อนร่วมงานเอ่ยขณะเดินผ่านและคงไม่ทันสังเกตสิ่งผิดปกติใดๆ

เธอยิ้มรับ แต่คงต้องนั่งอีกสักครู่

ใครจะไปนึกว่าทำงานวันแรกมันจะชุ่มฉ่ำขนาดนี้