เรื่องสั้น | ในแสงเทียน (2)

ห้องแคบๆ ในทาวน์เฮาส์ที่เขาเคยอาศัย ดูวังเวง ผมเข้ามาที่นี่เป็นครั้งคราว เมื่อเข้ามากรุงเทพฯ ทุกอย่างภายในบ้านยังเหมือนเดิม ภาพสีน้ำมันของจิตรกรรุ่นใหม่ ผู้เริ่มมีชื่อเสียงหลายค ติดอยู่ตามฝาผนัง เครื่องครัวระดับมืออาชีพในห้องครัวหลังบ้าน ดูอ้างว้างเมื่อไม่ถูกใช้งาน เงาสะท้อนบนสเตนเลสยังเป็นเงาเดิม เขาเป็นเชฟอาหารฝรั่งเศสมีชื่อ รักจะทำอาหารเมื่อต้องการทำ เลือกลูกค้าอย่างพิถีพิถัน หากถูกติดต่อให้จัดชุดดินเนอร์สำหรับแขกสี่ถึงแปดคนเป็นครั้งคราว

เวลาส่วนใหญ่ของเขาหายไปกับเสียงเพลง อ่านหนังสือ กับการเที่ยวชมแกลเลอรี่และหอศิลปะ เพื่อติดตามงานศิลปะของคนหนุ่มสาว ด้วยความตั้งใจเสมอ

“งานของเด็กๆ มันแรง แล้วจริงใจ ไม่ดัดจริต” เขาจริงจังขณะพินิจงานชิ้นหนึ่งบนฝาห้องแกลเลอรี่เล็กๆ แถวสุขุมวิท

ผมจ้องภาพนั้นอย่างจริงจังเช่นกัน

“ดูเรื่องราวกับสีสิ” เขาหันมามองผม “เป็นชีวิตชาวบ้านกับความเชื่อธรรมดาๆ แบบเหนือจริง ปาดสีเด็ดขาดด้วยความมั่นใจ แล้วที่สำคัญ นายเห็นมั้ย เด็กคนนี้เล่นกับสเปซได้อย่างลงตัว”

ผมเห็นด้วย หลังจากนั้นไม่นานผมเห็นภาพนี้ติดบนฝาผนังห้องรับแขก ซึ่งบางครั้งเป็นห้องจัดเลี้ยงเล็กๆ ด้วย

เสียงเพลง Dream Letter ไหลไปกับเสียงต่ำห้าวจากสายอะคูสติกเบส ถูกสีโดยจอห์น มิลเลอร์ คลอท่วงทำนองให้สอดกลืนกับเสียงร้องของบัคเลย์ อันเหงาและเศร้าซึม

ภาพเขียนสีน้ำมันชิ้นนั้นติดอยู่เหนือเครื่องเล่นซีดีมานานแล้ว ตอนนี้จิตรกรผู้เขียนกลายเป็นคนมีชื่อเสียง ผลงานแต่ละชิ้นใกล้เข้าหลักล้านไปแล้ว

“ภาพนี้อีกไม่นานจะมีราคามากกว่าที่เราซื้อมากเลย” เสียงเขามั่นใจ “นายเชื่อเถอะ”

ผมเองก็ชอบเรื่องราวกับความแรงของสีค่อนข้างหยาบจนดิบ เห็นด้วยกับสเปซที่เขาเคยชี้แนะ ผมจ้องภาพเขียนชิ้นนั้นในความสลัวเลือน แสงเทียนจากบานหน้าต่างไม่สามารถส่องไปถึง แต่ยังพอจะเห็นเงาสีสดๆ คลุมเครืออยู่กับเรื่องราว

“เราอยากเขียนรูป” เขายิ้ม ใช้นิ้วชี้เกาเคราสั้นๆ ตรงแก้ม ก่อนปัดเส้นผมบางส่วนละตรงหน้าอกให้พาดไปข้างหลัง

“แล้วทำไมไม่เขียนล่ะ” ผมจ้องตาเขา

เขาเงียบอยู่นาน เงยหน้ามองเพดานห้อง แล้วกลับมาสบสายตากับผม แววตาคู่นั้นค่อนข้างเรียว แต่ประกายตากลับดูไร้เดียงสา และเร้นไว้ด้วยความอบอุ่น

เฟรมผ้าใบสีขาวว่างเปล่า ขนาดแตกต่างกัน วางซ้อนกันหลายเฟรม ตรงมุมห้องติดกับประตูไปยังห้องครัว

“จริงๆ แล้ว…” เขาเกาศีรษะ “เราเคยหลงใหลการเขียนรูป แต่พอเราเรียนรู้การเป็นเชฟ จากเชฟชาวญี่ปุ่น เราได้พบความสุขแท้จริง”

ผมเงียบ

“การทำอาหารมันทดแทนได้ทุกอย่างเลย” น้ำเสียงเขาเรียบๆ “ทดแทนการสูญเสียที่อยากเป็นคนทำงานศิลปะ แล้วการทำอาหาร บางทีมันก็คืองานศิลปะอีกแบบหนึ่งนะ”

ผมยังคงเงียบ และฟัง

“แต่เรายังอยากเขียนรูปอยู่” เขาอมยิ้ม

“อยากเห็นงานของนาย” เราจ้องตากัน

“สักวัน” เขาก้มหน้ามองมือมีนิ้วเรียวยาว “ตอนนี้เราอยากสะสมงานมากกว่า”

ผมจำไม่ได้ว่าเรารู้จักกันยังไง แต่หลังจากนั้นไม่นานเรากลายเป็นเพื่อนต่างวัย ผมอ่อนกว่าเขาห้าปี เขาเป็นคนกรุงเทพฯ ครอบครัวมีฐานะดี มีร้านขายพลอยแถวบ้านหม้อ เพราะอยากเป็นจิตรกร เขาพาตัวเองเข้าไปเรียนรู้การเขียนรูปกับจิตรกรรุ่นใหญ่มีชื่อเสียงสามหรือสี่คน ก่อนจะสิ้นหวังกับวิธีคิดของจิตรกรมีชื่อเหล่านั้น

เขาเคยใช้ชีวิตฝึกหัดเป็นเชฟในกรุงลอนดอนร่วมสิบปี หลังจากหัวใจแตกสลายกับดาว หญิงสาวผู้เพิ่งจบจากโรงเรียนศิลปะมีชื่อ เขารักงานของเธอ วางชีวิตเธอให้เป็นจิตรกร ด้วยการเช่าบ้านริมคลองฝั่งธนบุรี เพื่อให้เธอมุ่งมั่นเขียนรูปตามใจปรารถนา ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอง ขอเพียงให้เธอทุ่มเทกับความฝัน หรือบางทีอาจเป็นความฝันของเขาด้วย นับเป็นช่วงเวลาแสนสุขระหว่างเขากับเธอ

ส่วนตัวเขาตัดสินใจทำงานขายพลอยกับครอบครัวอย่างจริงจัง หลังเลิกจากงานเขาจะแวะไปหาเธอตรงบ้านริมคลอง เฝ้าดูภาพเขียนของเธอด้วยความชื่นชม กินอาหารค่ำกัน ก่อนจะกลับมายังร้าน บางวันเมื่อเขาหยุดงาน ทั้งคู่จะชวนกันไปดูงานแสดงศิลปะตามแกลเลอรี่ ชีวิตทั้งคู่เหมือนท่องอยู่ในเทพนิยาย แล้วทุกอย่างที่เคยวาดหวังแสนงามของทั้งคู่ ได้พังทลายไปต่อหน้าต่อตา

เขาเดินผ่านประตูหน้าบ้านไม้ชั้นเดียวริมคลอง เข้าไปในตัวบ้าน เห็นเป้เก่าๆ ขนาดใหญ่วางพิงฝาบ้านชิดกับขอบประตู แสงลอดมาจากหน้าต่างสองบาน ทอดเป็นลำให้เห็นรางๆ ใกล้ริมหน้าต่างบานหนึ่ง มีภาพสีน้ำมันยังไม่เสร็จ ตั้งอยู่บนขาตั้ง จานสีกับหลอดสีวางเกลื่อนบนลังไม้เก่าๆ ตรงมุมห้องอีกด้าน ภาพเขียนสมบูรณ์แล้วหลายขนาดพิงซ้อนกันอยู่ ภาพลายเส้นรูปร่างคนหลายบุคลิกบนกระดาษ ติดอยู่ตามฝาผนังแบบไร้ระเบียบ มีภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ เป็นภาพเหมือนของเขา ในแสงทึมๆให้ความรู้สึกลึกลับ แฝงความปวดร้าว ติดไว้เกือบเต็มฝาผนังอีกด้านของห้อง เหนือเตียงนอนไม้

กลิ่นสีน้ำมันกับน้ำมันสนอวลอยู่ภายในห้อง โต๊ะไม้เก่าทาสีฟ้า ตัวสีตามมุมกะเทาะจนเห็นผิวไม้ ตั้งชิดผนังอีกด้าน มีเก้าอี้ไม้เก่าๆ วางอยู่ตรงข้ามกัน บนผนังด้านนี้ นอกจากจะติดภาพสีน้ำมันไม่ใหญ่นักสองรูป เป็นภาพคนชราเต็มไปด้วยริ้วรอยบนใบหน้าแบบหยาบๆ ยังติดกระดาษภาพร่างลายเส้น เหมือนจะเป็นต้นแบบภาพที่จะเขียน

ตรงกลางห้อง หญิงสาวร่างเล็กๆ นั่งขัดสมาธิ หลังตั้งตรงอยู่บนพื้นบ้าน ผมเป็นลอนสีดำแวววาว ใบหน้าสวย มีน้ำตาคลออยู่ในแววตาบวมและแดง เธอจ้องมองตามร่างเขา ค่อยๆ เดินเข้ามาทรุดนั่งตรงข้าม เห็นร่องรอยบนใบหน้าดูเหนื่อยหน่าย แฝงความปวดร้าวและสับสนของเขา

“จะไปไหนเหรอ” เขาถาม น้ำเสียงแหบ มีความอ่อนล้าเร้นอยู่ “ใครเป็นไรรึเปล่า”

น้ำตาเธอไหลพราก ก้มหน้ามองมือตัวเองวางอยู่บนเข่า ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงมากระทบ เสียงสะอื้นนั้นมีความปวดร้าวบีบกดบรรยากาศภายในห้องเอาไว้

เขาเอื้อมมือไปกุมมือเธอ บีบมือนิ่มนวลเบาๆ

เธอเงยหน้ามอง น้ำตายิ่งไหลริน เสียงสั่นๆ ของเธอแผ่วเบา “ขอโทษนะ…เราท้อง”

เขานิ่งอึ้ง มองไปยังท้องเธอ ขณะเธอก้มหน้า ยกมืออีกข้างปาดหยาดน้ำตาตรงแก้ม มือกำลังกุมมือเธอเริ่มสั่นระริก ขณะปล่อยมือเธอ ร่างค่อนข้างอวบของเขาเริ่มสั่นตาม อารมณ์บางอย่างไม่ค่อยเกิดขึ้นกับเขาดันทะลักขึ้นมา เขาจ้องเส้นผมเป็นลอนสีดำแวววาว ส่วนใบหน้าสวยของเธอ ก้มลงมองหัวเข่าตัวเองอยู่นาน พยายามควบคุมอารมณ์บางอย่างเอาไว้ แต่เขาไม่สามารถควบคุมน้ำตาที่เอ่อคลอ

“ไปซะ…” คำพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือของเขาแผ่วเบา

เธอลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินผ่านร่างเขา แล้วหยุด หันกลับมามองด้านหลังเขา เอื้อมมือบอบบางเหมือนจะลูบเส้นผมบนศีรษะเขา แต่ชะงักค้างเอาไว้ชั่วครู่ นิ้วมือเรียวยาวสั่นระริก มีเสียงสะอื้นแผ่วๆ ตัดสินใจชักมือกลับ แล้วเดินแผ่วเบา ก้มหยิบเป้วางอยู่ข้างประตูบ้านขึ้นพาดไหล่ และก่อนจะเดินผ่านประตูออกไป เธอหันกลับมามองแผ่นหลังของเขาอีกครั้ง

“ขอบคุณทุกอย่างเลย” เสียงเธอยังสั่นและรู้สึกยะเยือก “เราเสียใจ แต่เรารักเมฆเสมอ”

เธอเห็นร่างนั่งหันหลังสั่นสะท้าน ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบานั้น บีบกดอยู่ในความรู้สึกตัวเอง จนสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอันรวดร้าว เป็นเพราะตัณหาแค่วูบเดียว ทำให้ความฝันงดงามของเธอกับเขาหายไปชั่วพริบตา คงเหลือแต่เพียงรอยแผลไม่เคยหาย ติดตัวไปตลอดกาล

เธอตัดสินใจเดินจากไปชั่วชีวิต และเขาบินไปลอนดอน

“เราไม่เคยนอนกับดาวเลย” เขาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ในห้องรับแขกที่บ้านแค่เล ใกล้หาดในยาง ภูเก็ต “แต่เราเข้าใจดีนะ ดาวกำลังอยู่ในวัยเบญจเพส เราแก่กว่าแค่ห้าปี เธอกำลังมีความต้องการทางเพศ แต่เราไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นเลย มัวแต่ทำงานอย่างเดียว”

ผมยังมองเขาเงียบๆ และรอคอย

“เรายังรักดาว” เขาพยักหน้ากับตัวเอง “ถ้าเราเป็นไรไป นายช่วยไปบอกเธอได้มั้ย”

ผมพยักหน้า เขาให้ที่อยู่เธอกับผม

“นายก็รู้นี่…” เขาถอนหายใจ ยกมือขึ้นลูบเคราตรงปลายคาง แววตาครุ่นคิด “เราชอบหมกมุ่น เราทำไรหลายอย่างพร้อมกันไม่ได้ ถ้าเราชอบทำไร เราจะบ้ากับมัน เหมือนเรารักการเป็นเชฟ เราพบว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับมันตอนเราเข้าครัว”

ผมขยับตัว มองใบหน้าด้านข้างของเขากำลังสะท้อนแสงเทียนจางๆ

“เราโตช้า” เขากระแอม “เราเกิดก่อนกำหนดตอนเจ็ดเดือน จริงๆ ไม่น่าจะรอด เราเลยเรียนรู้ช้า เรียนหนังสือไม่จบ แต่เราชอบวาดรูปก่อนจะมาเป็นเชฟ เราพบดาวตอนเป็นศิษย์จิตรกรรุ่นใหญ่ แล้วเรารักกัน”

“ทำไมนายเลิกเขียนรูป”

“ดาววาดดีกว่าเรามาก” เขายิ้มจนตาหยี “เราจึงขอเงินพ่อมาเช่าบ้านริมคลอง ให้เธอเขียนรูปอย่างเดียว ส่วนเรากลับไปขายพลอย เราลืมเรื่องอื่นๆ หมดเลย คิดแค่ต้องหาเงิน เพื่อมาทำความฝันให้เป็นจริง”

ผมมองเขาบีบนวดต้นแขนซ้ายไปมา

“ตอนแรกดาวขอเป็นคนไปทำงาน” เขามองเลยไปยังเปลวเทียน “เธอมีวุฒิการศึกษา ส่วนเราไม่มี เธอคิดว่าเธอหางานได้ง่ายกว่าเรา ตอนนั้นเราหมดอารมณ์เขียนรูปแล้ว เราอยากให้เธอสมหวัง กับการเป็นจิตรกรมีชื่อ”