เรื่องสั้น | ผมสัมภาษณ์ผม

(ผม) ช่วยเล่าประวัติการศึกษาหน่อย

(ผม) ผมเรียนประถมที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน ซึ่งแต่ก่อนไม่มีชั้นอนุบาล เป็นโรงเรียนที่พระครูลี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดของหมู่บ้านในขณะนั้นเป็นผู้สร้างขึ้นมา จึงมีชื่อพระครูลีในวงเล็บท้ายชื่อโรงเรียนว่า “โรงเรียนบ้านดวนใหญ่ (ลีราษฎร์วัฒนา) จบประถมปีที่ 6 เรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนซึ่งติดกับอ่างเก็บน้ำของอำเภอ คืออ่างเก็บน้ำวังหิน ชื่อโรงเรียนนครศรีลำดวนวิทยา ตั้งชื่อตามชื่อเมืองเก่าสมัยก่อนคือเมืองศรีนครลำดวน แต่เปลี่ยนเป็นนครศรีลำดวนวิทยา จบมัธยมตอนต้นต่อวิทยาลัยเทคนิคของจังหวัด แต่ไม่จบ

(ผม) ไม่จบ?

(ผม) ดนตรี ร็อก แอนด์ โรล, เฮฟวี่ เมทัล, สปีด เมทัล, แทรช เมทัล, สารระเหย, เหล้า และกัญชา…เซ็กซ์ ทำให้ผมไม่จบ หลักสูตร ปวช. กำหนดสำเร็จการศึกษาในระยะ 3 ปี แต่ผมเรียน 2 ปีครึ่ง ก็ไล่ตัวเองออกจากสถานศึกษา

(ผม) คือ?

(ผม) ผมทำผิดกฎหมายด้วยข้อหาลักขโมย ถูกจำคุกอยู่ 2-3 วัน แม่ประกันออกมาและต้องทัณฑ์บนไว้ 1 ปี

(ผม) ต่อมาล่ะ?

(ผม) ออกมาพักผ่อนอยู่บ้าน ทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน กินเหล้ากับหลายคน เบื่อ! แล้วอ่านหนังสือ

(ผม) อ่านหนังสือ?

(ผม) ครับ ผมเบื่อเพื่อนฝูง เบื่อการกินเหล้า เบื่อชีวิตสำมะเลเทเมา ผมอ่านหนังสือจึงพอจะทราบว่าตัวเองต้องการอะไร

มีหนังสือมากมายที่ผมอ่าน ผมอ่านหนังสือพิมพ์มติชน, สยามรัฐ, เดลินิวส์, ไทยรัฐ, มติชนสุดสัปดาห์, สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์, สีสัน, สตาร์พิค, มิวสิค เอ็กซ์เพรส…, แต่หนังสือที่ทำให้ผมอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองมากที่สุดคือ เรื่อง “แม่” ของแม็กซิม กอร์กี้ ที่แปลโดยจิตร ภูมิศักดิ์ มันทำให้ผมอยากเลิกเสพสุราและหันมาเสพสมตัวอักษรแทน รวมถึงหนังสือพวกปฏิวัติ 14 ตุลาฯ, เพลงเพื่อชีวิต และผลงานทางศิลปะที่สื่อถึงการแสวงหา

ผมกลับมาเรียนสายสามัญในระดับมัธยมปลายใหม่ แทนการเรียนสายอาชีพ อาชีพที่คิดว่าตัวเองถนัด แต่ไม่ใช่ เป็นการเรียนตามพี่ชายเสียมากกว่า

เรียนกับน้องสาวของตัวเองแท้ๆ ที่ห่างกัน 3 ปี เรียนกับรุ่นเดียวกับน้องสาว เรียนอย่างหลักสูตรบังคับ

(ผม) คุณไม่รู้หรือว่ามีหลักสูตร กศน. (การศึกษานอกโรงเรียน) เทียบโอนหน่วยกิตโดยไม่ต้องใช้เวลายาวนานถึง 3 ปี

(ผม) ผมไม่ทราบครับ หากรู้ก็คงไม่เรียน เพราะผมรับอะไรอย่างรวบรัดไม่ได้ มันไม่ซึมซาบ

(ผม) ผมว่าคุณโง่มากกว่า

(ผม) อาจใช่ครับ แต่ผมไม่ชอบอะไรที่มันเร่งรัดสำเร็จโดยเร็ว คิดว่าง่ายไปสักหน่อย แต่การเรียนช่วงนั้นก็ทำให้ผมได้รับประสบการณ์แปลกอยู่เหมือนกัน คุณลองคิดดู ผมอยู่กับคนที่อายุห่างกัน 3 ปี แน่นอนว่าความคิดอ่านของผมกับเขาย่อมแตกต่างกัน เหมือนกับว่าผมตกไปอยู่อีกยุคหนึ่ง กลายเป็นคนหลงยุค แน่นอนว่ามันยากแก่การปรับตัวอย่างน่าตลก คือขณะที่ผมเรียนอย่างเอาจริงเอาจัง ชนิดอยากเป็นหนึ่งในศาสตร์วิชาที่ตัวเองเรียน พวกเขา (นักเรียนห้องเดียวกับผม) กับเรียนเพื่อผ่าน และได้เกรดดีๆ เท่านั้น นี่แหละความสับสนที่เริ่มต้นบ่มเพาะผมอย่างไม่รู้ตัว อาการสับสนนี้คลุมเครือเป็นอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ถูกต้อง ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ มันมีแต่การดื้อด้านต่อต้าน ทุกอย่างมิได้เป็นอย่างใจต้องการเลย สังคมผู้คน การเมือง ศิลปะงานเขียน ดนตรี ฯลฯ ไม่ได้เป็นอย่างผมคิด มันไม่ดี (สำหรับผม)

(ผม) คุณเป็นคนแอนตี้สังคม?

(ผม) ผมไม่รู้หรอกครับ เพียงแต่ขัดแย้งกับความคิดแบบเบ็ดเสร็จว่า “กูถูกต้องผู้เดียว มึงผิด” คำว่าแอนตี้สังคม ผมถูกอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวหา ผมแค่เสนอความเห็นแตกต่างออกไปเท่านั้นเอง

(ผม) นั่นละคือการแอนตี้สังคม

(ผม) หากการคล้อยตามคนอื่นโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลของความถูกหรือผิด เป็นปลาตายลอยตามกระแสน้ำ ผมยอมเป็นปลาที่ว่ายทวนน้ำเสียดีกว่า

แม้เป็นปลาตัวเดียวที่ตายไปอย่างไม่เหมือนปลาตัวอื่นก็ตาม

ความใฝ่ฝันสู่รั้วมหาวิทยาลัย

“มหาวิทยาลัย” อาจารย์บางท่านให้ความหมายไว้ว่า คือ “จักรวาล” ซึ่งมาจาก universe แต่ผมฝันว่า มันคือสถานที่แห่งหนึ่ง อันจะบ่มเพาะให้ผมประสบความสำเร็จกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์และปรัชญา ซึ่งผมเคยฝันใฝ่ว่าอยากจะเป็น เช่นนักวิชาการชั้นนำชื่อดังของประเทศ แต่แล้วบรรยากาศของความเข้มขลังในบางอย่างหักเหให้ผมเปลี่ยนทิศทางไปสู่ทะเลแห่งความฝันอย่างครึ่งๆ กลางๆ ท่ามกลางความสับสน ในการไร้บรรยากาศถกเถียงเชิงวิชาการ ทำให้ผมซึมซาบบรรยากาศการตั้งคำถามการแสวงหาอย่างมิหยุดหย่อน “กูมาทำอะไรที่นี่วะ?” “กูเรียนไปทำไมกัน?”…คำถามโง่ๆ เช่นนี้ทำให้ผมต้องการค้นหาคำตอบให้ตัวเองระหว่างการศึกษาอยู่มิขาด เหล้าเข้ามาเติมในสายเลือดให้เข้มข้นขึ้นอีก ห้าปีที่ผมฝังตัวในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่มีอะไรมากไปกว่าการดื่มเหล้า กับแอบเขียนบันทึก

มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมทดลองอะไรบางอย่างตามใจใฝ่ฝัน นั่นคือการเป็นนักเขียน หลังฟังการบรรยายของนักเขียนรางวัลซีไรต์ท่านหนึ่ง ทำให้ความต้องการของผมแตกออกดัง “โพละ” เหมือนลูกโป่งที่อัดก๊าซไว้อยู่เต็มข้างใน ผมจะต้องเป็นนักเขียน ใช้ชีวิตอย่างนักเขียน ไม่ต้องทำอะไร เขียนอย่างเดียว ผมไม่เรียนแล้ว ผมเรียนเพื่อจบออกไปทำงานเท่านั้นเองละหรือ? ผมไม่ต้องการเรียนแล้ว ผมเบื่อวิชาที่เรียน เบื่อการอ่านหนังสือ ผมไม่อยากท่องจำแล้วนำมาตอบคำถามเขียนข้อสอบวกวนเวียนไปมาในหัวข้อปรัชญา ที่อาจารย์ให้คะแนนแค่ 0 กับ 1 เท่านั้น ผมติดเอฟหลายวิชาเพราะสงสัยความรู้ที่ตัวเองเรียนมาว่าเป็นความจริงหรือเปล่า? “อ่านไปเถอะ” เพื่อนบางคนบอก ผมสงสัยกับสิ่งที่เพื่อนวิชาเอกบอก และ… “เธอสติแตก!” อาจารย์ที่ปรึกษาบอกผม

ผลจากการสติแตก ทำให้ผมหยุดการเล่าเรียนไปหนึ่งภาคการเรียน และไปใช้ชีวิตอย่างที่ใจต้องการ กินเหล้า เที่ยวเตร่ นอนข้างถนน เล่นดนตรี สูบกัญชา ฯลฯ แต่ผมยังมิทราบคำตอบให้กับตัวเองอยู่ดี จึงต้องกลับมาเรียนใหม่

อย่างที่อาจารย์บอกว่าเอาไว้เป็น “ยันต์กันหมา”

(ผม) คุณมิทราบว่าเรียนไปทำไม?

(ผม) ตอนเข้าเรียนแรกๆ เข้าใจอยู่หรอกว่า พอจบออกไปมีใบปริญญาตรีแล้วต้องไปสมัครทำงานสอบเป็นครูหรือเป็นนักวิชาการอิสระ อะไรอย่างนั้น แต่พอผ่านไป 2 ปี มันรู้สึกไม่ใช่เสียแล้ว มันมีคำร่ำลือต่างๆ มากมายเหลือเกิน ประกอบกับบรรยากาศในรั้วมหาวิทยาลัยด้วยแล้ว มันไร้วี่แววเหลือเกินที่ผมจะเป็นอย่างเบ้าหลอมที่กระทรวงศึกษาธิการต้องการให้เป็น

(ผม) ยกตัวอย่าง

(ผม) ตอนที่มีนักเขียนหลายๆ ท่านมาบรรยายในมหาวิทยาลัย ผมกับเพื่อนและรุ่นพี่เข้าฟังบรรยายตามปกตินั่นแหละ แต่กลุ่มผมถูกเพ่งเล็งเป็นเป้าสายตา และการเข้าประชุมอบรมฝึกการเขียนหนังสือต่อมา ทำให้ผมซึมซาบความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนมากขึ้น มีคำชมจากรุ่นพี่ที่เป็นนักเขียนรางวัลซีไรต์ในงานเขียนที่ผมส่งตอนฝึกการเขียนครั้งนั้นด้วย

(ผม) คำชม?

(ผม) คำชมที่บอกว่าเรื่องสั้นของผมนั้น เขียนดี โดดเด่น อ่านแล้วมองเห็นภาพอย่างชัดเจน ประโยคแค่นี้แหละ ทำให้ผมเดินตามหาความเป็นจริงจนทุกวันนี้เลย

(ผม) คุณคิดว่าถึงจุดสูงสุดในการเขียนแล้ว?

(ผม) ไม่ทราบสิครับ

(ผม) แต่มีรางวัลอีกมากมายที่คุณไม่ได้นี่?

(ผม) ไม่ใช่หรอกครับ แม้ผมจะไม่ได้รับการตีพิมพ์อีกต่อไป ในหลายเวที แต่ผมก็คิดว่าดีที่สุดแล้วสำหรับผม มิจำเป็นต้องทำให้ดีหรือมากไปกว่าที่ตัวเองทำได้หรอก เพียงแต่เขียน หากมันจะได้ คงเป็นเรื่องของมันเอง

(ผม) คุณทำไม่ได้

(ผม) อาจได้หรือไม่ได้ แต่ผมคิดว่าไม่ใช่จุดสูงสุดสำหรับชีวิตหรอก ผมพอใจในสิ่งที่ได้ที่เป็นอยู่ ผมหยุดดิ้นรนแสวงหาสำหรับเพื่อการจะได้มาอย่างชนิดความอยากอย่างแต่ก่อน เรื่องที่ผมได้ตีพิมพ์แค่เรื่องเดียวถือเป็นรางวัลสูงสุดสำหรับผมแล้ว

ผมคิดว่านักเขียนที่มุ่งมั่นทุรนทุรายอย่างสูงเกินไป คงทรมานน่าดู

ทุ่งนาในจังหวัดแห่งหนึ่งของประเทศไทย

ผมเขียนหนังสือจนอายุย่าง 50 ปี ตอนนี้แต่งงานอยู่กินกับแม่หม้ายมา 3 ปีแล้ว เป็นพลเมืองประเภทปากกัดตีนถีบของประเทศไทย หาเช้ากินค่ำ มีรายได้ตามเกณฑ์แรงงานขั้นต่ำของรัฐบาลบ้าง แต่ส่วนมากไม่ได้เป็นไปตามเกณฑ์ ผมมิอาจสามารถทำตัวให้ทัดเทียมกับคนอื่นที่มีฐานะค่อนข้างดีได้ ไม่มีรถเก๋ง ไม่มีรถปิกอัพ ไม่มีแม้กระทั่งรถมอเตอร์ไซค์ มีแต่รถจักรยานเก่าๆ แก่ๆ หนึ่งคัน ถามว่าผมลำบากอยู่หรือเปล่า? ผมขอตอบว่าไม่ทราบเหมือนกัน ผมอาจดูต้อยต่ำในสังคม แต่ไม่เคยทำสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือทำความชั่วเลวทรามให้คนอื่นเดือดร้อน และถึงแม้จะไม่ร่ำรวยพอจะเทียบได้เท่ากับชนชั้นกลางส่วนใหญ่ของประเทศก็ตาม แต่ก็ไม่มีหนี้สินที่จะต้องชดใช้อย่างลำบากอึดอัดใจเลย

(ผม) คุณทำอะไร?

(ผม) หาหอยขายครับ

(ผม) คุณจบปริญญาตรีแต่มาหาหอยขาย

(ผม) เก็บขยะก็เคยครับ

(ผม) ขายกิโลละเท่าไหร่?

(ผม) เป็นหอยเชอรี่นำไปต้ม ดึงไส้ออกและล้วงลูกตาออกแล้วขายให้แม่ค้าส้มตำได้กิโลละ 50 บาท หากตัดหนวดทำอย่างดีใส่ถุงพลาสติกใสได้กิโลละ 70 บาท แต่นำไปขายอีกหมู่บ้านหนึ่ง หากส่งผ่านแม่ค้าคนกลางได้กิโลละ 50 บาท เท่ากับส่งแม่ค้าขาประจำที่ขายส้มตำในหมู่บ้าน

(ผม) ได้วันละกี่กิโล

(ผม) ได้วันละไม่ถึงกิโลครับ หากขุดถึง 3 วัน จะได้กิโลกว่าๆ อยู่ วันไหนขยันก็หาครึ่งค่อนวันได้เกือบกิโล

(ผม) หมายความว่า คุณมีรายได้เฉลี่ยวันละ 20 กว่าบาทเท่านั้นเอง

(ผม) ครับ

ปัจจุบันผมมีอาชีพอิสระ รับจ้างทั่วๆ ไป หาเงินทุกวิถีทางแล้วแต่โอกาสเอื้ออำนวย

และเขียนหนังสือเป็นประจำ

ชีวิตเป็นความไม่แน่นอน ผมควรพอใจกับสถานะของตัวเอง ณ ปัจจุบัน อย่างน้อยก่อนการล่มสลายของสิ่งที่ผมยึดมั่นศรัทธาในสถาบันสำนักพิมพ์ ก็มีชื่อเรื่องสั้นของผมปรากฏอยู่ในนั้น นั่นคือการได้ทำตามสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้ ต่อแต่นี้ผมคงเขียนหนังสืออย่างมิต้องกังวลกับอะไรอีก เพราะหน้าที่ในการตามล่าฝันของผมได้บรรลุเป้าหมายแล้ว ชีวิตได้แค่นี้พอจะมีความสุขอยู่บ้าง จึงขอจบผมสัมภาษณ์ผมไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ หากมีโอกาสในครั้งต่อไปผมจะสัมภาษณ์ผมให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบอีกครั้ง

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ