ประกวดเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ : สู้อยู่

ทรัพย์สินอันเปราะบางดังสายหมอก

เสียงฝีเท้าวิ่งบนสนามหญ้าฟังดูนุ่มนวลตรงข้ามกับเสียงโลหะกระทบพื้น น่าเศร้าที่เสียงทั้งสองไม่อาจแยกจากกัน มันผลัดกันดังเป็นจังหวะ ประสานเป็นพลังผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า…หรืออาจถอยหลัง ตามแต่ใจเจ้าของเสียงจะชี้นำ

“แม่คะ”

ฉันลืมตาขึ้น เด็กน้อยผู้เป็นดวงใจของฉันและคลิฟใช้ดวงตาต่างกระจกสะท้อนภาพตัวฉันกลับมา

“หลับเหรอคะ”

“เปล่าจ้ะ แม่คิดบางอย่างอยู่”

“คิดถึงพ่อเหรอคะ”

เด็กสาวเดินเข้ามาโอบแขนกอดขาฉัน ฉันที่นั่งอยู่โน้มตัวลง ใช้แขนช้อนรอบตัวเธอ อุ้มขึ้นมาให้นั่งบนตัก

“หนูนึกว่าแม่นอนฝันร้าย” เด็กน้อยใช้นิ้วแตะน้ำที่ขอบตาของฉัน

ฉันยกขาขวาของเธอที่เหยียบชายกระโปรงฉันจนยับยู่ขึ้น จัดแจงดึงผ้าให้เรียบ ก่อนจะวางขาน้อยลงที่เดิม เมื่อเสร็จด้านหนึ่ง ฉันหันมาจัดอีกด้าน มือของฉันชะงักเมื่อสัมผัสความแข็งกระด้าง ฉันส่งยิ้มให้ลูกสาวตัวน้อยก่อนจะจัดขาซ้ายของเธอที่ตั้งตรงผิดธรรมชาติให้พับงอเข้าเพื่อให้เธอนั่งในท่าสบายที่สุด

“พ่อจะกลับจากทำวิจัยเมื่อไหร่คะ” ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย “ทุกทีพ่อบอกก่อนไป แต่หนูจำไม่ได้แล้ว”

“คราวนี้ไม่ได้บอกหรอกจ้ะ” ฉันปัดปอยผมที่ตกลงมาปรกดวงตาคู่นั้น “ไปเถอะ ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว”

เด็กน้อยขยับตัว เหวี่ยงขาขวามาฝั่งเดียวกับขาซ้ายแล้วก้มลงมองพื้นกะระยะ ชั่วพริบตาเธอกระโดดลงจากตักไป แม้ได้รับคำสั่งจากสมองพร้อมกันทั้งสองข้าง แต่ขาเทียมเหยียดออกไปเร็วไม่ทันขาอีกข้าง ลีนาเซไปด้านซ้ายเล็กน้อยเมื่อเท้าสัมผัสพื้น สัญชาตญาณความเป็นแม่สั่งให้ฉันยื่นแขนออกไปจะช่วยประคอง แต่ก่อนจะล้ม เด็กสาวยืดขาทั้งสองให้เท่ากันทันเวลาและทรงตัวไว้ได้ เธอยืนตัวตรงได้อย่างสง่างามก่อนจะก้าวขาออกวิ่ง

ฉันหลับตาลงอีกครั้ง เสียงโลหะดังกระเทือนไปถึงหัวใจ

 

ผมรู้สึกถึงแรงกระทุ้งบริเวณสีข้างด้านซ้าย ผมสูดลมหายใจเข้า รวบรวมพลังยกเปลือกตาขึ้น แค่ใช้หางตามองก็รู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่เดินประกบอยู่หงุดหงิดไม่น้อยกับการต้องคอยกระตุ้นให้ผมตื่นขณะเคลื่อนย้ายตัวจากห้องฟังคำพิพากษาไปยังจุดหมายปลายทางใหม่

ผมทำเป็นอ้อยอิ่ง ก้าวเท้าให้สั้นและช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ หนึ่ง เพื่อแกล้งยั่วโทสะเจ้าหน้าที่คนนี้ให้มากขึ้น สอง เพื่อยืดเวลาที่ผมจะมีโอกาสได้ชื่นชมสินทรัพย์อันประเมินค่าไม่ได้นี้ก่อนที่จะต้องตายจากกันไป ผมก้าวเท้าที่หนักอึ้งเพราะพันธนาการทางความคิดมาจนถึงจุดหนึ่งและหยุด

“อย่ามัวแต่ลีลา เข้าไปไวๆ” เจ้าหน้าที่คุมตัวตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดแม้ปากของเขาจะห่างจากรูหูของผมไม่เกินห้าฟุต

“เป็นอย่างนี้ทุกตัว ทีก่อนทำไม่คิด” ลุงอ้วนหลังพวงมาลัยผสมโรง ร่วมด้วยช่วยด่าผม

“ทำอะไรเหรอครับ” ผมแกล้งตีหน้าซื่อถาม

“ทำเลวไง” พลขับถลึงตามอง พร้อมจะผละจากงานหลักมาชกผมเป็นงานเสริม

“ผมไม่เคยทำผิด” ผมเดาะลิ้นตอบขณะที่เจ้าหน้าที่คุมตัวฟาดลำแขนลงมาที่กลางสะบักผม เป็นการกระทำเดียวแต่ใช้เพื่อจุดประสงค์สามประการ หนึ่ง เพื่อกระตุ้นผม สอง เพื่อดันผมให้เข้าไปในรถ และสาม เพื่อระบายความโมโห

ผมเชิดหน้า วางเท้าลงที่ขั้นบันไดของรถ ใช้เท้าอีกข้างเตะพื้นดันตัวให้สูงขึ้น เมื่อเท้าทั้งสองของผมเหยียบเข้าไปในความมืดทึบภายในตัวรถทรงสี่เหลี่ยมที่จะพาผมไปสู่แดนประหาร ประตูรถก็กระแทกปิดลง

 

“แม่ขอโทษนะ”

“ทำไมคะ” ลีนาขมวดคิ้วถาม

“รสองุ่นที่ลีนาชอบหมดแล้ว มีแต่รสส้มกับรสสตรอว์เบอร์รี่ให้เลือก”

“รสส้มกลิ่นเหมือนยา” เธอทำจมูกย่น เบ้ปากตอบ “ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้วนี่คะ”

ฉันบิดเกลียวหมุนฝากระปุกให้เปิดออก เมื่อภาชนะกลมสีขาวเอียงได้องศา เม็ดแคปซูลสีชมพูสดใสทยอยกลิ้งพ้นปากขวดกระปุก ร่วงลงสู่จานเปล่าเบื้องล่าง

“แต่จริงๆ แล้ว รสไหนก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ” เด็กน้อยยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบ “เดี๋ยวก็กลืนลงคอ ไม่ทันได้กลิ่น”

แม่ขอโทษนะ

วิทยาศาสตร์ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย คลิฟพร่ำบอกฉันอย่างนั้น เขามักล้อฉันว่าโดนลัทธิโรแมนติกซิสซึ่มล้างสมอง เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ปีศาจที่คอยเที่ยวไล่กำจัดธรรมชาติและมนุษย์ คลิฟบอกว่าวิทยาศาสตร์คือความจริงในธรรมชาติที่มนุษย์ค้นพบ แต่สำหรับฉัน วิทยาศาสตร์คือธรรมชาติที่มนุษย์ใช้ความคิดของตัวเข้าไปจับ มันจึงไม่มีทางเป็นธรรมชาติอันไร้มลทิน

และถ้าหากวิทยาศาสตร์ไม่ใช่สิ่งผิดอย่างที่คลิฟบอก คงเป็นฉันเองที่ผิด

ฉันผิดที่ระมัดระวังไม่กินยาที่อาจเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ ไม่ดื่มเหล้าหรือเสพสารเสพติด ไม่เข้าใกล้ควันบุหรี่ แต่กลับกินอาหารธรรมดาอย่างที่มนุษย์ปุถุชนกินกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลที่ถูกจับมาจากน้ำทะเลปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี เนื้อของสัตว์ที่โตมากับสารเร่งโตในโรงงานที่มันไม่มีแม้แต่พื้นที่พอจะหันคอ ผักที่แข็งแรงเพราะปุ๋ยเคมีและการตัดต่อปรับปรุงพันธุกรรม หรือผลไม้ที่ได้รับการปกป้องจากยาฆ่าศัตรูพืชระหว่างอยู่ในสวนและเคลือบด้วยแวกซ์เพื่อความเงางามขณะวางขาย ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง ผู้ทำให้ลูกเติบโตขึ้นมาไม่สมบูรณ์จนตกอยู่ในสภาพพิการเช่นนี้

ร่างกายที่ผิดพลาดของลีนาเปลี่ยนฉันให้กลายเป็นคนขี้ระแวง จนคลิฟถึงขั้นเคยต่อยกับคนแปลกหน้าที่เรียกฉันว่าคนวิตกจริต ฉันกลายเป็นคนสองบุคลิก ในขณะหนึ่งฉันสาบานตนเป็นสาวกผู้บริโภคแต่อาหารออร์แกนิก แต่ในขณะจิตตก ฉันอนุญาตแค่แคปซูลสังเคราะห์บริสุทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถผ่านหลอดอาหารไปได้ สังเคราะห์บริสุทธิ์ในที่นี้แปลว่าทุกอย่างล้วนเกิดจากการสังเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น รส สี คุณสมบัติของวิตามินที่เกิดจากการสกัดดึงเอาแต่ประโยชน์มา หรือแม้แต่เปลือกหุ้ม มันเป็นวัตถุสังเคราะห์ที่ผ่านการรับรองจากห้องแลปว่าปลอดภัยจากสารปนเปื้อนทุกประเภท ฉันจึงวางใจที่จะให้มันเป็นแหล่งพลังงานชีวิตแม้ว่ามันจะปราศจากสุนทรียะต่อประสาทสัมผัสทั้งห้า…หรือหก มันช่างสะท้อนสภาพชีวิตของฉันตอนนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“โฮ่ง”

ฉันหันไปทันเห็นลีนาโยนแคปซูลขึ้นกลางอากาศ มันตีวงโค้งลงตามหลักการเคลื่อนที่แบบโปรเจ็กต์ไทล์เข้าไปในปากสุนัขขนยาวสลวยสีน้ำตาลที่อ้ารองับอยู่แล้ว

 

ผมอยากอ้าปากเพื่อบอกอะไรบางอย่างแต่โดนมัดปิดไว้อยู่ ที่แย่กว่านั้นคือตอนนี้ผมคันก้น แต่เพราะแขนทั้งสองข้างของผมถูกตรึงไว้กับแขนเก้าอี้ ผมจึงไม่สามารถเกาได้ ผมขยับตัวเพื่อพยายามไถก้นกับเบาะเก้าอี้ที่นอนอยู่ ชายในเสื้อกาวน์สีขาวชะโงกหน้ามามองผมที่ขยุกขยิก

“ไม่ต้องกลัวครับ ผมรับรองว่าไม่เจ็บ” เขาปลอบผมเหมือนหมอฟันปลอบคนไข้เด็ก

ชายใส่แว่นยกเข็มยาวแหลมขึ้นตรวจดู หลังจากนั้นต่อสายเข้าที่ด้ามเข็มแล้ววางลงบนถาดสแตนเลส เมื่อเขาหันมาเห็นผมมอง รอสบสายตา เขาจึงส่งยิ้มให้ผม ผ้าสีขาวสะอาดในมือของเขาถูกวางทาบเหนือตาของผม ก่อนที่ปลายผ้าจะอ้อมไปมัดเป็นเงื่อนอยู่หลังหัว อวัยวะเดียวที่ผมยังควบคุมได้อย่างอิสระคือสมองของผมและผมใช้สิทธินั้นเป็นวาระสุดท้ายก่อนที่จะโดนพรากไป

…ตามหลักประชาธิปไตยอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดก็ตามมิอาจเป็นเจ้าชีวิตผู้อื่น เช่นเดียวกัน รัฐไม่มีสิทธิตัดรอนสิทธิในการดำรงอยู่ของผู้ใดแม้ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้กระทำผิดอันใหญ่หลวงหรือทำลายสิทธิการมีอยู่ของผู้อื่น แต่กระนั้นรัฐมีอำนาจอันชอบธรรมที่จะเป็นเจ้าความคิด (…ผมขอเร่งความคิด ข้ามบางช่วงที่ผมหลับ…)

…ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดจริง ข้อหาใช้อาวุธในครอบครอง ในกรณีนี้คือความรู้ เข่นฆ่าผู้อื่น

อ้างอิงตามกฎหมายอาวุธและสิ่งเทียมอาวุธมาตรา 1,900 ผู้ใดครอบครองอาวุธหรือสิ่งเทียมอาวุธและใช้มันเอาชีวิตผู้อื่น ผู้นั้นต้องระวางโทษ ถูกริบอาวุธนั้นเพื่อนำไปทำลายทิ้ง

ศาลจึงตัดสินให้ทำลายอาวุธที่ใช้ก่อเหตุโดยการส่งตัวจำเลยไปศูนย์ประสาทและสมองเพื่อเข้ารับการทำลายอาวุธ แต่ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์และตระหนักว่าการทำงานของระบบสมองเป็นสิ่งละเอียดอ่อน ศาลจึงขอให้เจ้าหน้าที่สังกัปฆาตทำลายเฉพาะส่วนความรู้ทางวิทยาศาสตร์และต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง รวมทั้งไม่อนุญาตให้เปิดข้อมูลส่วนอื่นของจำเลย อาทิ ความทรงจำส่วนตัวของจำเลยแม้ว่าความทรงจำนั้นจะเกี่ยวข้องกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มิฉะนั้น พนักงานสังกัปฆาตจะต้องโทษ ฐานละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

“วิทยาศาสตร์ไม่เคยผิดด้วยตัวของมันเอง ถ้ามีอะไรผิด นั่นคือคนที่ใช้มัน” (คลิฟ, 2036)

“วิทยาศาสตร์ไม่เคยผิดด้วยตัวของมันเอง ถ้ามีอะไรผิด นั่นคือคนที่ใช้คนที่ใช้มัน” (ฉัน, 2040)

คลิฟมักบอกว่าสิ่งที่เขาทำไม่เคยผิด แต่คลิฟผิดที่เลือกข้างผิด ถ้าเขาเลือกเดิมพันถูกฝ่าย เขาคือผู้ผดุงความยุติธรรมและวีรบุรุษของหมู่มวลมนุษยชาติ แต่คลิฟดันอยู่ฝ่ายแพ้สงคราม เขาจึงเป็นลูกสมุนของทรราชผู้กระหายอำนาจ สงครามและเลือดผู้บริสุทธิ์ แม้ว่าสิ่งที่เขาทำคือสิ่งเดียวกันก็ตาม

มันไม่สำคัญว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้เพียงแค่แก้ปริศนาที่ธรรมชาติตั้งไว้ได้ อย่างที่คลิฟเคยบอกไว้ว่า ทุกสิ่งล้วนสัมพันธ์กัน และทุกสิ่งย่อมรวมถึงวิทยาศาสตร์ เมื่อมีนักวิทยาศาสตร์อีกคนค้นพบว่าวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ที่คลิฟหาคำตอบได้เชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์ประยุกต์สาขาที่ว่าด้วยศาสตร์การฆ่าคน เมื่อนั้นคลิฟก็กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ประดิษฐ์อาวุธ แต่คลิฟจะกลายเป็นเทวดาหรือมัจจุราชก็ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายที่เขาอยู่ชนะสงครามหรือไม่ เพราะผู้ชนะเท่านั้นจึงจะได้สิทธิเขียนหน้าประวัติศาสตร์

ถึงแม้ฉันจะบอกว่าคลิฟผิดที่เลือกข้างผิด แต่แท้จริงแล้วเขาไม่มีโอกาสเลือกข้างด้วยซ้ำ เขาเป็นเพียงเหยื่อของโชคชะตา

โครม ฉันสะดุ้งกับการเล่นครั้งใหม่ของโชคชะตา ดูท่าเขาคงเบื่อจึงทำให้ชีวิตสีเทาของฉันมีสีสันขึ้น

ฉันวิ่งไปทางหน้าบ้านซึ่งเป็นจุดต้นกำเนิดเสียง ลมหายใจของฉันแทบขาดลงเมื่อเห็นรถปีนขึ้นมาจอดแน่นิ่งบนทางเดินเท้า แผ่นเหล็กหน้ารถทำหน้าที่กันรถและชนกับอะไรก็ตามที่อยู่หน้ามัน เหล็กที่ยุบตัวลงไปเป็นรอยบุ๋มเป็นหลักฐานการปะทะ ฉันทรุดตัวลงนั่งข้างลูกสาวที่นั่งร้องไห้เสียงดังลั่น ด้านหน้าเธอมีร่างสุนัขนอนแน่นิ่ง ของเหลวสีแดงสนิมไหลออกมาจากร่างนองพื้น ป๊อกกี้ผู้กล้าหาญเลือกเอาร่างชนเข้ากับแผ่นเหล็กเพื่อเป็นกำบังกันลีนาจากรถยนต์

“ลูกเป็นอะไรรึเปล่า” ฉันถามเสียงสั่น

“ไม่” ลิน่าสั่นหัวปฏิเสธความจริงมากกว่าปฏิเสธคำถามของฉัน “ไม่”

“ไม่เป็นไรนะ ลูก”

“ป๊อกกี้ ไม่” เด็กน้อยหายใจไม่เป็นจังหวะ “ไม่ ไม่”

“ไม่เป็นไร” ฉันปลอบลูกที่พูดซ้ำคำเหมือนเครื่องเล่นแผ่นซีดีกระตุก

“ไม่เป็นไร” เธอเบิกตากว้างทวนคำ “ไม่เป็นไรตรงไหนคะ ป๊อกกี้ตายแล้ว”

ฉันวางมือลงบนไหล่ที่สั่นสะท้าน

“ไม่เป็นไรจ้ะ ป๊อกกี้เป็นหุ่นยนต์” ฉันพยายามพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุด กลัวว่าเสียงที่สูงเกินไปอาจกระตุ้นระเบิด “เราสร้างขึ้นมาใหม่ได้ เอาให้เหมือนเดิมเลย ดีไหมจ๊ะ”

“คนที่หนูรัก สร้างขึ้นใหม่ได้เหรอคะ” ลีนาก้มหน้าสะอื้น

“ได้สิ”

ราวกับคำตอบของฉันเป็นไฟที่โยนเข้ากองดินประสิว เด็กน้อยที่นั่งนิ่งเมื่อวินาทีที่แล้วกลับระเบิดร้องโหยหวน เสียงกรีดร้องของเธอแหลมบาดหู กรีดลึกลงไปถึงหัวใจของฉัน

“ไม่เป็นไรนะ” ฉันยกมือสั่นระริกขึ้นลูบหัวลูกอย่างอ่อนโยน

 

มืออีกข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงและดึงกล่องออกมา เมื่อฝากล่องเปิดออก ฉันดึงเข็มแหลมพร้อมสายต่อโยงไปยังหน้าจอเล็ก ฉันเงื้อเข็ม กลั้นหายใจ แล้วปักมันลง ฉันรู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนเข็มนั้นปักลงที่หัวใจตัวเองเมื่อเห็นเข็มจมลงไปหลังต้นคอลูกที่นิ่งสนิท ฉันมองจอผ่านม่านน้ำตา

กรุณากรอกรหัสเพื่อยืนยันสิทธิผู้ปกครอง

ปลายนิ้วสั่นเทากดลงที่หน้าจอก่อนที่ข้อความใหม่จะปรากฏขึ้นมาแทนที่ ฉันกดย้ำลงไปครั้งหนึ่งพร้อมกับร้องไห้ตัวโยน ข้อความใหม่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง อีกแค่ครั้งเดียว ฉันบอกตัวเอง เพียงแค่กดเท่านั้น ฉันมองระเบิดลูกน้อยที่พร้อมทำลายหัวใจของฉันให้แหลกละเอียด ฉันกดลงบนหน้าจอ

ยืนยันลบความทรงจำ

ใช่ ไม่ใช่