ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | มิ่งมนัสชน จังหาร อาจารย์สาขาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม |
เผยแพร่ |
สัมผัสแรกเมื่อก้าวลงจากรถ ชาวบ้านออกมาเข้าแถวต้อนรับเราที่ศาลากลางหมู่บ้าน
สารภาพว่าผมไม่ได้คิดถึงภาพเหล่านี้เลย แรกที่ตัดสินใจมาเยือน ไม่มีข้อมูลหรือรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับบ้านบุ่งสิบสี่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งใน อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ
จับพลัดจับผลูเดินทางเพราะอยากเปลี่ยนสถานที่หายใจ อยากออกไปที่ไหนก็ได้ที่ห่างไกลจากตึกรามใหญ่โตในเมือง รถราขวักไขว่
เปลี่ยนวอลล์เปเปอร์ของตัวเองไปเป็นป่าเขาหรือท้องฟ้าดูบ้าง เติมพลังให้ใจชุ่มชื่นก่อนกลับมาลุยงานในต้นสัปดาห์
บังเอิญที่นักศึกษากลุ่มหนึ่งจะลงพื้นที่เก็บข้อมูลในบางวิชา ผมจึงตัดสินใจไม่ยาก เรียกว่าติดสอยห้อยตามไปสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
เพราะฉะนั้น จะไปที่หมู่บ้านใดก็ได้ผมไม่เกี่ยง มันก็คงเหมือนๆ กันแหละ ระหว่างที่เก็บของใส่กระเป๋าผมคิดอย่างนี้จริงๆ
ไม่ได้คิดว่าจะเจอการต้อนรับที่น่าประทับใจแบบนี้
หลังการเดินทางที่ต้องจอดถามทางผู้คนเป็นระยะ ผมตั้งข้อสังเกตในใจว่า หมู่บ้านนี้มีสิ่งใดน่าสนใจ แล้วทำไมพวกเราถึงต้องเข้าไปทำความรู้จักเรียนรู้วิถีของหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ภูเขาแห่งนี้
มันจะมีอะไรดึงดูดหรือน่าเรียนรู้ขนาดนั้น
หลังนั่งพักจนหายเหนื่อย ได้ทำความรู้จักกับชาวบ้าน ผู้ใหญ่บ้านแนะนำให้รู้จักประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน รวมไปถึงชาวบ้านที่มีหน้าที่ต่างๆ คอยดูแลผู้มาเยือน
ระหว่างนี้ลอบสังเกตเห็นชาวบ้านทำงานกันเป็น “ทีม”
ไล่จากแม่ครัวที่อยู่หน้าเตา ไปจนถึงผู้ใหญ่บ้านที่ถือไมค์อยู่ข้างหน้าคอยพูดประกาศถึงกิจกรรมที่เราจะได้สัมผัสเรียนรู้
ชาวบ้านใส่เสื้อพื้นบ้านเหมือนกัน ยิ้มแย้มแจ่มใส
สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงความสามัคคีและความเข้มแข็งที่อยู่ในชุมชน ทุกคนต่างเป็นฟันเฟืองในการพัฒนาหมู่บ้านให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยงเชิงเกษตร
ระหว่างทางเข้าหมู่บ้าน สังเกตเห็นป้ายจำหน่ายส้มโออยู่ตามบ้านเรือน พยายามกวาดสายตามองหาสวน แต่พบเห็นเพียงหย่อมเล็กหย่อมน้อย
ทำให้เริ่มคลางแคลงใจว่าตัวเองมาถูกสถานที่หรือเปล่า
ถึงบางอ้อก็ตอนรู้ว่าเราต้องล่องเรือเพื่อเข้าไปชมสวนที่อยู่สองฝั่งของลำน้ำพรม
แต่ก่อนที่จะได้ล่องเรือนั้น เราได้นั่งรถอีแต๊ก (รถไถนามีคันบังคับยาวๆ พ่วงที่นั่ง ใช้บรรทุกคน บรรทุกของ เวลาวิ่งจะมีเสียงดังแต๊กๆๆ) หลายคนที่ไม่เคยนั่งรถอีแต๊กส่งเสียงตื่นเต้นสนุกสนานกันใหญ่
รถพาเราเยี่ยมชมหมู่บ้านก่อนจะมาส่งเราที่ท่าเรือ
กิจกรรมนี้สร้างเสียงหัวเราะและสนุกสนานให้กับพวกเรา ได้อารมณ์และความรู้สึกลูกทุ่งไปอีกแบบ
ผมก้าวลงเรือ รู้สึกถึงความเย็นเยือกและอากาศบริสุทธิ์ที่กรูพัดเข้ามา กลิ่นของลมทำให้รู้สึกสดชื่น
ระหว่างที่เรือล่องไหลไปตามสายน้ำ ได้ปล่อยให้หัวใจของตัวเองเคลื่อนไหวไปโดยไม่ต้องคิดอะไรยุ่งยากวุ่นวาย
ทอดสายตามองผิวน้ำสบายอารมณ์ เสียงฝีพายจ้วงลงน้ำเบาๆ พาเราเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ข้างสองฝั่งเต็มไปด้วยสวนส้มโอ ไล่สายตาไปไม่ไกลจะมองเห็นภูเขาโอบล้อม
จินตนาการถึงอ้อมแขนที่โอบกอดพวกเราเอาไว้ ราวกับเราตกอยู่ในดินแดนต้องมนต์
วิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวบ้านสองฝั่งปรากฏผ่านกิจวัตรประจำวันระหว่างที่เรือไหลเอื่อยเฉื่อยไปอย่างช้าๆ
เรือเทียบท่าให้เราขึ้นฝั่งเพื่อเที่ยวชมสวนส้มโอของลุงคนหนึ่ง เราเดินเล่นในสวนหลายชั่วโมง เดินไป สนทนาไป ชมส้มโอหลากหลายสายพันธุ์
ใครคนหนึ่งถามลุงขึ้นมาว่าความสุขคืออะไร
ไม่เว้นที่ว่างของคำถามไว้นาน ชายเจ้าของสวนอายุกว่า 80 รีบตอบทันทีว่า ความสุขก็คือความสบายใจ
การได้เข้ามาในสวนดูแลส้มโอและพืชผักอื่นๆ ที่ได้ปลูกเอาไว้ก็คือความสุข
ตอนกลางคืนก็ออกมานอนที่สวน ฟังเสียงสัตว์ป่าที่ร้องมาจากป่าบนภูเขา
วันไหนที่ไม่ได้ออกมาสวนออกมาไร่แล้วรู้สึกไม่สบายใจ
ผมรู้ว่าลุงเจ้าของสวนไม่ได้โกหก เพราะแววตาที่เปล่งประกายมีคำตอบอย่างคำพูด
ผมไม่ได้ถามข้อมูลหรือเชิงลึกอะไรมากมาย
ไม่อยากรู้ว่าชาวบ้านที่นี่มีฐานะทางเศรษฐกิจอย่างไร มีรายได้รายรับเท่าไร
แต่จากการพูดคุยแล้วก็ต้องบอกว่า ชาวบ้านสามารถอยู่ในสวนในไร่ของตัวเองได้อย่างไม่เดือดร้อน
มีพ่อค้ามารับซื้อส้มโอถึงที่ ดำรงชีวิตด้วยน้ำพักน้ำแรงและอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืนด้วยความเข้าใจ
ผมไม่กล้าวัดว่า สถานะทางเศรษฐกิจกับความรื่นรมย์ของชีวิต สำหรับที่นี่อย่างไหนที่มีราคามากกว่ากัน
เราใช้เวลาอยู่ในสวนส้มโอหลายชั่วโมง ชิมส้มโอหลายสายพันธุ์
ระหว่างนั้นก็ได้ฟังเรื่องราวในยุคก่อนของชาวบ้าน กับการต้องดิ้นรนต่อสู้และหาเลี้ยงตัวเอง
ด้วยความที่มีพื้นที่อยู่ใกล้กับป่า หลีกไม่พ้นที่ชาวบ้านจะเข้าไปหาอยู่หากินกับผืนป่า เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐและเจ้าหน้าที่อยู่เนืองๆ
แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่ใช่ชาวบ้านไม่รักป่า พวกเขารักป่า ต้องการอนุรักษ์ป่า เพราะป่าคือวิถีชีวิตของพวกเขา ไม่มีป่าก็ลำบาก คนย่อมต้องดูแลเกื้อกูลกัน
แต่ก็หลีกไม่พ้นความคิดที่ขัดแย้งกัน เมื่อรัฐก็มองว่าชาวบ้านเข้าไปทำลายธรรมชาติ
ชาวบ้านก็มองว่ารัฐกีดกันการทำมาหากิน
ต่างคนก็ต่างมุมมองกันไป ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
เมื่อชาวบ้านเริ่มรวมกลุ่ม มองเห็นเส้นทางที่จะเดิน ทว่า หนทางก็ไม่ได้ราบรื่นเท่าไรนัก
พวกเขาต้องต่อสู้กับนโยบายต่างๆ ของภาครัฐที่เข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์และอาศัยทรัพยากรของพื้นที่ในการสร้างผลงานและความดีความชอบ
หลายองค์กรเข้ามาเพียงเพื่อ “ปักป้ายถ่ายรูป” แล้วจากไป ไม่จริงจังในการพัฒนาหมู่บ้าน
ข้อนี้จึงทำให้ชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจและมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดและเดินหน้าไปด้วยขาของตัวเอง
เมื่อพวกเขาค้นพบวิธีการดูแลตัวเอง จัดการตัวเองจากทรัพยากรที่มีอยู่ ชาวบ้านร่วมมือกันด้วยความจริงจังจริงใจ เสนอความคิดเห็น ปรึกษาหารือ ดึงเอาจุดเด่นที่มีอยู่ในหมู่บ้านออกมา
เมื่อชุมชนใดเข้มแข็ง ความสำเร็จย่อมตามมา
หมู่บ้านบุ่งสิบสี่ได้กลายเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงเกษตร สามารถต้อนรับผู้มาเยือนที่ต้องการเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้าน หรือต้องการพักผ่อนกับธรรมชาติที่แสนสวยงามบริสุทธิ์
หมู่บ้านมีโฮมสเตย์ไว้ต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยมชม และมีกิจกรรมหลายหลากที่สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน
ทุกวันนี้ชาวบ้านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเรียนรู้เชิงเกษตร
ชาวบ้านไม่ขึ้นไปหรือรุกล้ำพื้นที่ผืนป่า อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ช่วยเหลือพึ่งพาตัวเองได้ ซึ่งกว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคมาจนถึงวันนี้ได้ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นเพียงวันสองวัน หรือเกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง
ระหว่างที่รถเคลื่อนออกมาจากหมู่บ้าน เพลงสาวบ้านแต้ที่ถูกเปิดขับกล่อมในหมู่บ้านและภาพของพวกเราที่รำวงร่วมกับผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านกระจ่างชัด
“จดหมายไปสองฉบับ ได้ฮับหรือเปล่าคนดี จากไปสะหวีวี่วี จากไปสะหวีวี่วี ถ้าบุญฉันมีคงจะได้เชยชม ถ้าบุญฉันมีคงจะได้ชมเชย”
ทอดสายตาออกไปยังภูเขาลูกหนึ่ง แวบนั้นผมคิดถึงคำของลุงเจ้าของสวนส้มโอแล้วได้แต่ยิ้มคนเดียว
ถ้าหากว่าความสบายใจคือความสุข
ตอนนี้ผมช่างสบายใจเหลือเกิน