ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 เมษายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ใครที่ยังไม่เชื่อว่าเสียงปี่กลองของเวทีเลือกตั้งดังขึ้นแล้ว
ขอความกรุณาเปลี่ยนใจด้วยเถอะครับ
ท่านขยับออกตัวแรงเสียขนาดนี้จะให้แปลว่าอย่างไร
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาหมาดๆ คณะรัฐมนตรีเพิ่งจะมีมติแต่งตั้งคุณสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล-อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
และคุณอิทธิพล คุณปลื้ม น้องชายคุณสนธยา เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ใครที่ยังไม่เชื่อว่านี่คือรายการ “ปักธง” พื้นที่ชลบุรีและภาคตะวันออก อาจจะต้องไปพบแพทย์ (ฮา)
เหมือนกับที่ก่อนสงกรานต์ มีรายการ “คุณขอมา” ส่งคุณสกลธี ภัททิยกุล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนฯ พรรคประชาธิปัตย์ และหนึ่งในแกนนำ กปปส. เข้าไปเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
หลังจากที่คุณสกลธีและคุณณัฎฐพล ทีปสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนฯ พรรคประชาธิปัตย์อีกราย เพิ่งเข้าทำเนียบรัฐบาลไปพบกับ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
ใครที่ยังไม่เชื่อว่านี่คือรายการเตรียมตัวเลือกตั้งสำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ก็ควรจะต้องไปพบแพทย์เช่นกัน (ฮา-ฮา)
แต่ถามว่านี่เป็นเรื่องผิดคิดร้ายอะไรหรือไม่
คำตอบเบื้องต้นง่ายๆ ก็คือ-ไม่
อย่างน้อยที่สุด การตัดสินใจว่าจะต้องเลือกเส้นทางประชาธิปไตย เลือกเส้นทางของการเลือกตั้ง เลือกที่จะให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
ก็ดีกว่าการเลือกเดินบนเส้นทางของเผ็ดการ ของการยึดอำนาจ ของการใช้กระบอกปืนหรืออำนาจเข้าบังคับแน่นอน
ส่วนข้อครหาที่ว่า มีอำนาจและงบประมาณแล้วจะใช้สองอย่างนี้เอาเปรียบคู่แข่ง
อันนั้นก็คิดได้ แต่ผลที่ออกมาไม่แน่ว่าจะเป็นตามอย่างที่ตั้งใจเสมอไป
มีตัวอย่างให้เห็นมาหลายครั้งแล้วในอดีตว่าคนที่เป็นรัฐบาลอยู่ กุมทั้งเงินและอำนาจ บางรัฐบาลถึงขนาดขีดแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่
ที่สุดแล้วก็ยังแพ้ได้
ของแบบนี้มันไม่แน่หรอกครับท่านสารวัตร
ก็เมื่อยกอำนาจให้ประชาชนตัดสินแล้ว ผลจะออกมาอย่างไรก็อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน
สำคัญว่าเข้าไปอยู่ในหัวใจเขาได้จริงหรือยัง
และอย่างที่เคยย้ำหลายครั้งแล้วละครับว่า
นี่คือการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย
ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าและภูมิศาสตร์ทางการเมืองไปไม่มากก็น้อย
ป้ายหาเสียงยังจำเป็นหรือไม่ การปราศรัยใหญ่ยังเป็นเครื่องมือดึงดูดใจผู้มีสิทธิ์ออกเสียงหรือเปล่า
จะจำกัดหรือควบคุมการหาคะแนนของคู่แข่งได้หรือไม่
ในเมื่อช่องทางการสื่อสารบนโลกดิจิตอลนั้นเปิดกว้าง และ “เข้าถึง” ผู้รับสารได้โดยตรง (ถ้าคนดำเนินการมีประสิทธิภาพพอ)
จะป่าวประกาศนัดหมายอะไร ก็มีแฟนคลับเข้าไปเฮตั้งแต่หลักร้อย หลักพัน หลักหมื่น
เผลอๆ ก็หลักแสน
ที่จะต้องพิสูจน์ทราบกันนั้นอยู่ที่ว่า การเป็น “เน็ต ไอดอล” บนโลกโชเซียลทางการเมืองนั้น
จะผันแปรออกมาเป็นคะแนนเสียงได้มากน้อยเท่าไหร่
การส่งสัญญาณกันให้เห็นชัดเจนว่า ฝ่ายที่กุมอำนาจอยู่ในปัจจุบันพร้อมที่จะเดินสู่การเลือกตั้งแล้ว
น่ายินดีแน่นอน
เพราะเป็นเครื่องผูกมัดตัวเองว่า ถ้ายื้อหรือทำให้การเลือกตั้งยืดเยื้อออกไป
ฝ่ายที่จะต้องรับแรงกดดัน (ด้วยข้อหาว่าอยากจะยึดอำนาจต่อไปโดยไม่ฟังเสียงชาวบ้านบ้าง หรือกลัวแพ้บ้าง) ก็คือด้านของผู้มีอำนาจนั้นเอง
จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องต่อต้านหรือประณามกัน (ก็ในเมื่อยังไม่รู้เลยว่า วิธีการแบบนี้จะช่วยให้ชนะเลือกตั้งได้จริงหรือไม่)
และที่จริงแล้ว น่าจะต้องสนับสนุนให้ “เปิดหน้า” กันให้ออกมามากกว่านี้ด้วยซ้ำไป
จะได้รู้ว่าไผเป็นไผ ใครมีจุดยืนอย่างไร
ไม่ต้องอายหรอกครับ
อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าเปิดตัวมาเพื่อทำให้เกิดการเลือกตั้ง
ก็พวกที่เขาปิดเมืองขัดขวางการเลือกตั้งเขายังไม่อาย
แค่นี้น่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ
หึหึ