ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 ตุลาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
นั่งคุยกับคนทำจริง คนมีปัญญา เวลาคุยเสร็จจะรู้สึกได้ทันทีว่ารอยหยักในสมองจะเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย
รำพึงขึ้นมาเพราะเพิ่งไปนั่งกินข้าวคุยกับ คุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการของเครือซิเมนต์ไทยมา
ยกเรื่องเศรษฐกิจเอาไว้ไม่ต้องพูด เพราะเดี๋ยวกระเทือนใจบางท่านบางคน (ฮา)
ไปเน้นในเรื่องที่ 2-3 ปีหลัง ปูนซิเมนต์ไทยเขากระโดดเข้าไปทำเต็มตัว
คือเรื่องการศึกษา
ไม่ใช่เรื่องการศึกษาแบบกว้างๆ จับต้องไม่ได้
เขาเน้นไปที่เรื่องอาชีวศึกษาโดยเฉพาะ
ประการแรก เพราะประเทศนี้หาความสมดุลไม่ได้
ในขณะที่ประเทศซึ่งเจริญแล้วทางเศรษฐกิจและมาตรฐานชีวิต โดยเฉพาะในยุโรป อัตราส่วนของผู้เรียนต่อในสายวิชาชีพ-สายช่างคือประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ที่เข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมปลาย-อุดมศึกษา
ตัวเลขผู้เข้าเรียนสายอาชีพในประเทศไทยคือประมาณ 1 ใน 3 ของนักเรียนทั้งหมด
เป็นเหตุให้เกิดปัญหาประการต่อมา คือคุณภาพ
ด้านหนึ่ง เป็นเพราะ “ตลาด-สังคม” ตีราคาวิชาชีพเอาไว้ต่ำกว่าสายสามัญ
ทั้งที่ความต้องการของตลาดไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ หรือเผลอๆ สายวิชาชีพจะมากกว่าด้วยซ้ำ
หรือถ้าจะประกอบอาชีพอิสระเลี้ยงตัว สายอาชีพก็ให้ทางเลือกได้มากกว่า
แต่ว่าทรัพยากร (โดยเฉพาะจากภาครัฐ) ส่วนใหญ่ทุ่มลงไปที่สายสามัญ
อัตราส่วนการอบรม “ครู” ที่จะเป็นเบ้าหลอมหรือเป็นผู้ช่วยชี้แนะให้นักเรียนนักศึกษา ระหว่างสายสามัญกับสายอาชีพนั้น
ต่างกันถึง 40 เท่า
ตรงนี้ถ้าตัวเลขเป๊ะๆ ผิดไปก็ขออภัย
แต่ที่แน่ๆ คือผิดกันมหาศาล
2-3 ปีที่ภาคเอกชนกระโดดเข้าไปรับภาระบางส่วนแทนรัฐนั้น
โรงเรียน-วิทยาลัยในสายอาชีพ 800 แห่งได้รับการสนับสนุน-ปรับปรุงไปแล้วประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนทั้งหมด
แต่ยังไม่พอ
ยังมีงานต้องให้ทำกันอีกมาก
ประโยคต่อจากนี้ไป คุณรุ่งโรจน์ไม่ได้พูด แต่คนในวงสนทนาทะลุกลางปล้องขึ้นมา
ก่อนที่โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
องค์กรใหญ่โตเทอะทะ ก็งุ่มง่ามอืดอาดอยู่แล้ว
ในโลกยุคใหม่ องค์กรที่อุ้ยอ้ายเหมือนไดโนเสาร์อย่างกระทรวงศึกษาธิการ ยังจำเป็นต่อสังคมนี้อยู่อีกหรือไม่
ถ้ายังจำเป็น บทบาทที่ควรจะเป็นหรือทำให้เกิดประโยชน์คืออะไร-อย่างไร
เลิกจัดการศึกษาเองดีไหม ปล่อยให้สังคม-ตลาดเข้ามากำหนด
ทำตัวเป็นผู้สร้าง-วัดมาตรฐานการศึกษา
ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลทั้งเชิงพื้นฐานและเชิงเปรียบเทียบให้ประชาชนดีหรือไม่
เหมือนอีกหลายๆ ส่วนราชการในประเทศนี้
อะไรที่คนอื่นทำแทนได้ ให้เขาทำ
หันมากำกับดูแลอย่างเดียวจะดีกว่าไหม
หรือไม่ชอบ
เพราะลดขนาดทั้งอำนาจและเงิน?
ตบท้ายด้วยงานขายของต้องมา
18-29 ตุลาคมนี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เขาจัดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 22
สำนักพิมพ์มติชนจัดมาเต็มกระบวนศึกเช่นเคย
สำหรับท่านที่แสวงหาความรู้-ข้อมูลเกี่ยวกับงานพระบรมศพและพระเมรุมาศ
ที่พลาดไม่ได้ก็คือ “สู่ฟ้าเสวยสวรรค์” หนังสือที่รวบรวมรายละเอียดทั้งสองประการเอาไว้ครบถ้วน
ตามกันมาติดๆ คือ “ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย” ที่หุ้มปกปั๊มทองใหม่ ของ อาจารย์นันทพร อยู่มั่งมี
และ “งานพระเมรุ ศิลปสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเกี่ยวเนื่อง” จาก ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ
ส่วน “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนตุลาคม ปกพิเศษเคร่งขรึม-งดงาม สอดรับกับเนื้อในอัดแน่น
มีหนังสืออย่าง “ชันสูตรประวัติศาสตร์ เมื่อคราวสวรรคต” ของ คุณหมอเอกชัย โควาวิสารัช ที่เอาวิทยาศาสตร์เข้าจับประวัติศาสตร์ชนิดกลมกลืน
ขณะที่หนังสืออื่นก็ชวนอ่าน
“ดาร์ตาญังกับสามทหารเสือ” ฝีมือแปลจากต้นฉบับเต็มๆ ครั้งแรกของ อาจารย์วัลยา วิวัฒน์ศร
“หลังสิ้นบัลลังก์มังกร ประวัติศาสตร์จีนยุคเปลี่ยนผ่าน” เส้าหย่ง-หวังไทเผิง เขียน กำพล ปิยะศิริกุล แปล
ขาดไม่ได้คือ “ศาสตร์แห่งโหร 2561” และอีกหลายเล่มตามรสนิยม
อ่านกันเยอะครับ อ่านให้สนุก
ถึงยุคดิจิตอลจะมา แต่ว่าความรู้ที่เป็นรากฐานก็สำคัญ
อ่านกันมากๆ แล้วอาจจะเห็นด้วยว่า
กระทรวงศึกษาธิการไม่ใช่ของจำเป็นสำหรับอนาคตก็ได้
หรือไง?