ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 มีนาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
เป็นสองเรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน
แต่เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน
เหรียญที่ชื่อว่า “ทัศนคติ”
เรื่องแรก คือกรณีที่ ส.ส.คนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กว่า “ประชาชนโง่ เราจะตายกันหมด”
อันเนื่องมาจากความไม่พอใจที่ประโยค “ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด” แพร่หลายอยู่ในโลกเสมือน ระหว่างที่ไวรัสโควิด-19 กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง
ท่าทีนี้สะท้อนอะไร?
สะท้อนว่าคุณได้ผลักภาระทั้งหมด จากระบบจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ ไปจนกระทั่งถึงระบบการสื่อสารที่สับสน
มาให้ประชาชนเป็นผู้แบกรับไว้
ที่ผ่านมา ไม่มีใครเถียงเรื่องคุณภาพในการจัดการของระบบและบุคลากรด้านสาธารณสุข
แต่ที่เขาตั้งคำถามและข้อสงสัย คือความสามารถในการบริหารจัดการภาพรวมของรัฐบาล
ไม่เชื่อก็กลับไปอ่านที่ ผอ.สนามบินสุวรรณภูมิ และคนทำงานที่นั่นเขียนไว้อีกที
ว่าระบบประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกันล้มเหลวขนาดไหน
หรือการหายไปของหน้ากากอนามัยจากสถานที่ที่ควรอยู่
แล้วไปปรากฏว่าอยู่ในมือของคนที่ไม่ควรอยู่ (และคนสงสัยว่ามีแบ๊กดี) ขายทำกำไรอย่างโจ่งแจ้ง
พอถูกแฉถูกจับได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าคนถูกจับดูหน้าตาซื่อๆ
แล้วคดีก็ค่อยๆ แผ่วหายไป
หรืออยู่ๆ อธิบดีกรมหนึ่งก็จะลุกขึ้นมาฟ้องโฆษกอีกกรมหนึ่ง ซึ่งออกมาแถลงว่าตัวเลขส่งออกหน้ากากเป็นเท่าไหร่
(ล่าสุดคนประกาศฟ้องก็เพิ่งถูกปลดกลางอากาศไปแล้ว แต่ไม่รู้ปัญหาหน้ากากขาดแคลนจะได้รับการแก้ไขหรือไม่-อย่างไร)
ยังไม่นับความไม่เป็นกระบวนในการทำงานที่ออกมาเป็นระยะ
เช่น วันหนึ่งจะแจกเงิน พอถูกด่าไม่ทันข้ามวัน
ก็เปลี่ยนใจบอกไม่เอาแล้ว
หรือระหว่างที่โควิด-19 กำลังระบาด อยู่ๆ ก็มีข้อเสนอชนิดผิดกาลเทศะ จะให้เปิดฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน-อินเดีย
พอถูกด่าก็ชักกลับ
ฯลฯ
การจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ
นโยบายชักเข้าชักออก หาความแน่นอนไม่ได้
การสื่อความที่สับสน
ไม่รู้ว่าอะไรคือแก่นอะไรคือกระพี้ที่หาสาระไม่ได้
เป็นความโง่ของใครกันแน่
เข้ามาเป็นตัวแทนประชาชน โดยไม่ต้องเห็นหัวเห็นความสำคัญของประชาชน
ทัศนคติที่มีต่อประชาชนก็ออกมาแบบนี้
ถามว่านี่คือทัศนคติส่วนตัวหรือทัศนคติรวมหมู่
รอดูว่าพรรคและรัฐบาลจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเรื่องนี้
แต่ไม่ใช่แค่พูดว่านี่เรื่องส่วนตัว แล้วก็ตัดหางปล่อยวัดไปง่ายๆ
ที่สะท้อนทัศนคติในการทำงานอีกเรื่องก็คือ
กรณีธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ก็ประกาศลดดอกเบี้ยมาตรฐานลงมาแบบฉุกเฉินเป็นการชั่วคราว
จากร้อยละ 1-1.25 เหลือร้อยละ 0
เท่านั้นยังไม่พอ ยังประกาศด้วยว่าจะอัดฉีดเงินใส่ตลาดอย่างน้อย 700,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพื่อพยุงซื้อพันธบัตร-หุ้นกู้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
เมื่อรวมกับเงินที่ปั๊มออกมาแล้วจำนวน 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
นี่คือ “มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน-quantitative easing (หรือ QE)” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2008 เป็นต้นมา
เป็นปฏิกิริยาที่ตอบสนองต่อความเป็นจริง และท่าทีของตลาดที่เริ่มหวั่นเกรงว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยระดับโลกกำลังรออยู่ข้างหน้า หลังวิกฤตโควิด-19 เริ่มจาง
โดยตัวกระตุ้นก็คือ ปริมาณหนี้สินภาคเอกชนที่จะกลายเป็น “หนี้เสีย” จำนวนมหาศาลกว่าครั้งไหนๆ
เพราะจากปี 2008 ถึงปัจจุบัน เอกชนทั่วโลกอาศัยช่วงที่โลกนี้อยู่ในภาวะ “ดอกเบี้ยต่ำ” ยาวนาน ออกพันธบัตร-หุ้นกู้มาระดมเงินจากตลาดอย่างมโหฬาร
จาก 48 ล้านล้านเหรียญเมื่อปีนั้น เป็น 75 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้
ในจำนวนนี้ที่มีแนวโน้มจะกลายเป็น junk bond หรือพันธบัตรขยะ-ไม่สามารถใช้หนี้หรือจ่ายดอกเบี้ยได้ตามกำหนดได้มีอยู่ประมาณ 19 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
เทียบกับขนาดจีดีพีของไทยทั้งประเทศที่อยู่ประมาณ 0.5 ล้านล้านเหรียญ
ความเสียหายที่ใหญ่กว่าขนาดประเทศไทย 38 เท่า
โดยในจำนวนนี้กลุ่มที่อยู่ในข่ายจะเป็นหนี้เสียได้มากที่สุดคือ
กลุ่มพลังงาน
ธุรกิจท่องเที่ยว โดยเฉพาะสายการบิน
และกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์
พวก “เล่นเป็น” เขาเล่นกันอย่างนี้ละครับ
หรือทั้งเล่นใหญ่และเล่นเร็ว
ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ กล้าๆ กลัวๆ
ในวิกฤต ไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเก้ๆ กังๆ
ทัศนคติแบบนี้มีอยู่ไหมในคนบริหารนโยบายบ้านเรา
หรือมีแต่แบบแรก?