อย่ามองข้าม “ม็อบไม่มุ้งมิ้ง” โจทย์หนัก “แคนดิเดต ผบ.ตร.” ปฏิบัติอย่างเป็นธรรมชนะใจ ปชช.

ภาคต่อของ “แฟลชม็อบ” นักเรียน-นักศึกษาที่ผุดขึ้นทั่วประเทศ หลังคำพิพากษาตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ทิ้งทวนไว้ว่า “ไฟจุดติดแล้ว”

เว้นหายไปเกือบ 5 เดือนเต็ม หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไฟดวงนี้ยังไม่มอดสนิท แต่ด้วยภาวะขาลงของการเมือง แปรเป็นลมโหมพัดให้ “เยาวชนปลดแอก” นำเหล่าทัพ “ผู้ไม่ยอมทน” ตั้งแต่วัยรุ่นจนผู้สูงอายุนับพันคนลงถนนตามคำมั่นหมายครั้งก่อน เรียกร้องรัฐบาลให้ยุบสภา แก้ไขรัฐธรรมนูญ และหยุดคุกคามประชาชน

ล้วนเป็นผลข้างเคียงจากการบริหารราชการของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่เคยให้สัญญาคนไทยว่าจะขอเวลาอีกไม่นาน

ทว่าล่วงมากว่า 6 ปี ยังไม่มีท่าทีของ “ความปรองดอง” อย่างแท้จริง

รังแต่จะเป็นรอยร้าวลึก ระหว่างขั้วการเมืองที่แบ่งฝักฝ่ายคนไทยออกจากกัน

ซ้ำแล้วยังคงมีเชื้อไฟที่มาจากคนของรัฐ ดังที่ “ผู้พันเจี๊ยบ” พ.อ.หญิง นุสรา วรภัทราทร นายทหารประจำกรมยุทธการ ทบ. อดีตรองโฆษกกองทัพบก โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการชุมนุมครั้งนี้โดยระบุว่า เป็นม็อบมุ้งมิ้ง ตีกันเองระแวงกันเอง และตอบถึงข้อเรียกร้องการยุบสภาว่าอีก 2 ปีครึ่งก็ต้องเลือกตั้งใหม่แล้ว พร้อมแนะนำน้องๆ เอาเวลาไปทำมาหากิน!

เท่านั้นก็มีทัวร์ลง จน “ผู้พันเจี๊ยบ” ต้องลบโพสต์ออกไปตามสเต็ป

ขณะที่ตำรวจเดินเกมอีกแบบหนึ่ง เมื่อไม่โยนฟืนเข้ากองไฟ ก็ชูนโยบายละมุนละม่อม ไม่กระทบกระทั่งประชาชน

การนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.มอบหมายให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นผู้กำกับดูแลความสงบเรียบร้อยของการชุมนุมให้อยู่ตามกรอบกฎหมาย

ซึ่ง พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์เผยว่า บช.น.จะรวบรวมพยานหลักฐานว่าจะดำเนินการอย่างไรกับใครบ้าง หากพิจารณาแล้วมีความผิดในลักษณะสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ซึ่งผู้ใดที่ถูกเจ้าหน้าที่เก็บภาพได้ถือว่าอยู่ในข่ายความผิดนี้

สำหรับข้อหาเกี่ยวกับการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย จะเป็นแกนนำผู้ปราศรัย

ขณะที่ความผิดเกี่ยวกับผู้สนับสนุน คือ กลุ่มชูป้ายข้อความต่างๆ

นอกจากนี้ การลงมาชุมนุมบนพื้นถนน ก็เข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.จราจรทางบก

ส่วนกรณีพบชายชุดดำบริเวณโรงเรียนสตรีวิทยา ได้รับรายงานว่าเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบที่เข้าไปดูแลพื้นที่จุดสูงข่ม ป้องกันไม่ให้มีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์

ด้าน พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ได้สั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนโดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม รอง ผบช.น.รับผิดชอบงานความมั่นคง เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รอง ผบช.น.รับผิดชอบงานสืบสวน เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน พร้อมรวบรวมพยานหลักฐานจากการชุมนุมเพื่อดูว่าพฤติกรรมของแกนนำและผู้ชุมนุมเข้าข่ายความผิดอะไรบ้าง ก่อนพิจารณาดำเนินคดี

พล.ต.ท.ภัคพงศ์เผยว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังพิสูจน์ทราบตัวบุคคลทั้งแกนนำและผู้ชุมนุมก่อนรวบรวมพยานหลักฐาน หากพบใครกระทำผิดก็ว่ากันตามกฎหมาย ซึ่งการชุมนุมครั้งนี้ เบื้องต้นเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ทั้งนี้ ยืนยันตำรวจไม่ได้ประเมินสถานการณ์ของม็อบนักศึกษาต่ำเกินไป

อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากฝ่ายความมั่นคง ประเมินสถานการณ์เบื้องต้นว่าแกนนำม็อบเพิ่งได้จัดการชุมนุมขนาดใหญ่ ซึ่งต่างกับ “แฟลชม็อบ” ที่จัดกิจกรรมกันเสร็จก็เลิกเก็บของกลับ มีค่าใช้จ่ายไม่มาก แต่ในความเป็นจริงนั้น แกนนำจำเป็นต้องจัดเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัย รวมถึงการกินอยู่ สถานที่และห้องน้ำ ซึ่งอาจเกินกำลังที่จะควบคุมและรับมือสถานการณ์ไหวจึงยกเลิกไปก่อน

ส่วนการประกาศค้างคืนคาดว่าอาจเป็นการหยั่งเชิงมวลชนว่าจะร่วมด้วยหรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่ยังต้องคอยติดตามประเมินสถานการณ์ไปจนถึงการนัดหมายชุมนุมอีกครั้งภายใน 2 สัปดาห์นับจากนี้

ขณะที่ พล.ต.ต.สมประสงค์บอกว่า ตอนนี้ชุดทำงานสอบสวนเริ่มมีเค้ากฎหมายแล้วว่าม็อบนี้กระทำผิดข้อหาใดบ้าง หลักๆ คือการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่กองร้อยน้ำหวาน ที่เข้าคุมฝูงชนระหว่างยกแผงรั้วกระทบตัวกันจนเจ็บ 5 นาย

อีกข้อหาคือเรื่องกีดขวางการจราจร แต่ยังต้องรอการรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจน ทั้งนี้ ยังทราบว่ามีชายคนหนึ่งถูกทำร้ายบริเวณเต็นท์ปราศรัย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการข่าวของรัฐ ที่เข้าไปพูดคุยกับแกนนำเพื่อแจ้งให้ผู้ที่พยายามนำผ้าไปคลุมกล้องวงจรปิดของ กทม.ระหว่างการชุมนุมด้วย

“ยืนยันว่าหน้าที่ของเราคือการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของผู้ชุมนุม เพราะกิจกรรมดังกล่าวสามารถกระทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เพียงแต่ต้องไม่เกิดผลกระทบต่อผู้อื่น ที่สำคัญ ต้องไปแจ้งกับสถานีตำรวจในท้องที่ว่าจะจัดกิจกรรมอะไร แต่ไม่ใช่ขออนุญาต ก็เพื่อให้ผู้กำกับสถานีจัดกำลังไปดูแลความปลอดภัย” พล.ต.ต.สมประสงค์กล่าว

และว่า สำหรับประเด็นที่ผู้ชุมนุมสงสัยว่าอาจมีผู้ไม่หวังดี หรือชายชุดดำอาจแฝงตัวเข้ามาสร้างสถานการณ์ระหว่างการชุมนุมนั้น ยืนยันว่าไม่มี ซึ่งตำรวจยังวางกำลังตรวจตรามากถึง 3 กองร้อยซึ่งถือว่ามากพอสมควร

แต่ที่ผู้ชุมนุมพบบุคคลซุ่มตัวบนร้านอาหารแมคโดนัลด์ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ขึ้นไปเก็บภาพมุมกว้างเท่านั้น

ไม่ว่าตำรวจจะเลือกเดินเกมทางใดก็ต้องดำเนินการอย่างนุ่มนวลแม้จะมี “ไม้แข็ง” โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม

ถือเป็นโจทย์สำคัญที่อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์การก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ “เจ้ากรมปทุมวัน” ของบรรดาแคนดิเดตทั้งหลาย โดยเฉพาะ พล.ต.อ.สุวัฒน์ หนึ่งในบุคคลที่ไฟสาดส่อง

เพราะตำรวจถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ใกล้ชิดกับประชาชนที่สุดอาชีพหนึ่ง หากชนะใจประชาชนได้ สถานการณ์ทุกอย่างอาจเบนไปอีกทางหนึ่ง