การรับมือโคโรนาไวรัสระบาดแบบจีนๆ ก่อนลุกลามติดเชื้อไปทั้งโลก

การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ภายใต้ชื่อที่ถูกตั้งขึ้นในภายหลังว่า “โควิด-19” (COVID-19) ได้เป็นภัยคุกคามร้ายแรง ด้วยการระบาดไปทั่วโลกในเวลาเพียง 2 เดือนเศษ แต่อัตราการระบาดและการเสียชีวิตที่สูงกว่าสายพันธุ์รุ่นก่อนอย่างโรคซาร์สในปี 2003 หรือไวรัสเมอร์สปี 2012

ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคระบาดก็เพิ่มขึ้นทุกวัน นอกจากระบาดที่ลุกลามเหมือนไฟลามทุ่ง ความกลัวก็เพิ่มขึ้นเท่าตัวเพราะความไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติของการระบาดจากข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ บวกกับความเชื่อเดิมๆ หรือความมั่นคงของรัฐบาล ทำให้ตัวเลขที่แท้จริงของผู้ติดเชื้อที่ถูกแล้วมีอยู่เท่าไหร่ ยังมีผู้ติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการที่ไม่พบตัวอีกกี่คน

ก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้

หากไม่สามารถรับมือได้ รัฐบาลที่ใช้ระบอบควบคุมความคิดคนอาจวิตกกังวลถึงความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพจะสั่นคลอน

ดังนั้น การซุกปัญหาไว้ใต้พรมและปิดปากทุกคนที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นทางเลือกแรกๆ ในการยับยั้งสิ่งที่น่ากลัวกว่าโรคระบาดก่อนลุกลามจนเกินควบคุม

อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถขัดขวางวิถีธรรมชาติของโรคระบาดได้ และกว่าจะรู้ตัวก็อาจสายเกินกว่าจะช่วยชีวิตคนที่ติดเชื้อได้ทัน

 

แหล่งข่าวได้เผยข้อมูลย้อนกลับไปในการระบาดช่วงแรก ปัญหาที่จีนเผชิญไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากกว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ระบาดที่มณฑลหูเป่ยอีกแล้ว การติดเชื้อลุกลามรวดเร็วไปทั่วประเทศ พร้อมกับทำให้ประชาชนจีนเห็นชัดแล้วว่า รัฐบาลจีนไม่ตระหนักถึงวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้นและคำเตือนที่ส่งเข้ามา รัฐบาลจีนยังสั่งปิดปากทุกคน รวมถึง นพ.หลี่เหวินเหลียง จักษุแพทย์ซึ่งเป็นคนแรกที่ออกมาเตือนถึงภัยคุกคามอย่างร้ายแรงนี้ จน นพ.หลี่ต้องจบชีวิตลงจากเชื้อไวรัสที่เขาออกมาเตือนด้วยความเป็นห่วง

สิ่งที่รัฐบาลจีนตอบสนองต่อสัญญาณเตือนของ นพ.หลี่หลังจากเตือนการระบาดของไวรัสประหลาดเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาคือ การเรียกตัว นพ.หลี่มาสอบสวน หลังจากเผยแพร่เรื่องการระบาดของไวรัสใหม่ในห้องแชตของนักเรียนแพทย์ในหูเป่ย

ในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา นพ.หลี่ถูกหน่วยงานสาธารณสุขและตำรวจท้องถิ่นเรียกไปสอบสวน และบังคับให้เขาสารภาพว่ากระทำการเผยแพร่ข่าวที่ไม่เป็นจริงและผิดกฎหมาย แสดงให้เห็นว่าในขณะที่รัฐบาลจีนพยายามต่อสู้กับการระบาดของไวรัส ก็ยังพยายามปิดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลด้อยประสิทธิภาพในการรับมือกับการระบาดในเมืองอู่ฮั่นด้วย

ข้อเท็จจริงที่ออกมาเตือนในตอนนั้นคือ จีนได้ยกระดับการเซ็นเซอร์ข้อมูลข่าวสาร หลังจากเข้าจัดการกับเสียงวิจารณ์บนโลกออนไลน์และรายงานข่าวเชิงสืบสวนของนักข่าวจีนที่ออกมาเปิดเผยความผิดพลาดของทางการจีนที่ประเมินต่ำและปฏิบัติงานแบบจำกัดต่อการคุกคามของโคโรนาไวรัส

แม้แต่การเสียชีวิตของ นพ.หลี่ ยังเผยถึงปัญหาอันน่าห่วงที่ไม่ได้ถูกพูดถึงในรายงานสถิติของทางการจีน อย่างจำนวนที่แท้จริงของบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อ

 

โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเริ่มการระบาดจากเมืองอู่ฮั่นและลุกลามไปทุกมณฑลของจีน ก่อนระบาดข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้านและอีกหลายประเทศนอกภูมิภาค

ผลกระทบจากไวรัสได้รับความสนใจอย่างมากที่สุดในมณฑลหูเป่ย โดยเห็นว่ามีอัตราการเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยถึง 97% และ 67% ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้เสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน สะท้อนถึงระบบสาธารณสุขท้องถิ่นของจีนเกินรับไหวจากการเพิ่มแบบรวดเร็ว พยาธิสภาพนอกถิ่น การดูแลขั้นพื้นฐานจึงเป็นไปได้ยาก

ต้นทุนมนุษย์ในการระบาดสำหรับจีนแล้ว มีแต่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ที่มากกว่านั้นคือภาพลักษณ์จีนที่เป็นอำนาจกลางกลับไร้การช่วยเหลือกำลังต่อสู้กับโรคภัยทั้งที่จีนควรเป็นสังคมล้ำหน้าเทคโนโลยีแล้ว แสดงให้เห็นว่าจีนยังมีหนทางอีกไกลในการให้บริการสาธารณสุขกับประชาชนอย่างทั่วถึง

และด้วยแบบฉบับเฉพาะตัว จีนยังได้สร้างค่ายกักกันใหญ่ที่สุดในโลกอย่างการสั่งปิดมณฑลหูเป่ย ทำให้อัตราการเสียชีวิตในช่วงการระบาด เฉพาะมณฑลหูเป่ยสูงถึง 3.1% เมื่อเทียบกับมณฑลอื่นซึ่งอยู่ที่ 0.16%

ขณะที่โซเชียลมีเดียก็เต็มไปด้วยภาพถนนที่โล่งไร้ผู้คนตามเมืองใหญ่ของจีน หรือคำแนะนำในการยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัส แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ให้ข้อมูลอย่างถูกต้อง หรือในขณะที่ผู้คนหลายเมืองสวมหน้ากาก ก็มีรายงานว่า หน้ากากที่สามารถยับยั้งการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ถูกขายจนหมดและขาดการเข้าถึงในพื้นที่ชนบท

ทางจีนกลับใช้วิธีในการรับมือวิกฤตโรคระบาดอย่างแรกคือการควบคุมคลื่นข้อมูลข่าวสาร หรือหากเป็นไปได้ ปิดพื้นที่ศูนย์กลางของการระบาด การกักกันดูเหมือนเป็นทางที่ง่ายที่สุดในการจัดการกับปัญหา แต่ไม่ใช่กับข้อมูลหรือการเพิ่มการเฝ้าระวัง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่หนทางรับมือปัญหาแบบคนมีวุฒิภาวะทำกัน

น้ำหนักของสถานการณ์จึงวัดได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้นำระดับสูงของจีน รวมถึงสีจิ้นผิง ประธานประเทศ หลี่เค้อเฉียง นายกรัฐมนตรี และซุนชุนหลาน รองนายกรัฐมนตรี เข้ามาติดตามการยับยั้งและพยายามควบคุมด้วยตัวเอง สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในเบื้องหลังการอพยพจำนวนมากในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยนายสีได้ประกาศความพยายามอย่างเด็ดเดี่ยวในการลดการระบาด นายหลี่เคร่งเครียดกับการรับมือวิกฤตที่เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข

ส่วนนายซุนดูแลความสงบเรียบร้อยและดูแลการระบาดโรคจากไวรัสในกลุ่มเอ

 

การปฏิเสธการเริ่มต้นของการระบาดโดยจีนเกิดขึ้นหลังจากที่อนามัยโลกได้ระบุเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมาว่า ไวรัสสามารถแพร่กระจายระหว่างมนุษย์กันได้ ทันใดนั้นเอง จีนได้สั่งยกเลิกกรุ๊ปทัวร์ เรียกสุ่มตรวจสัตว์ปีก ตรวจวัดอุณหภูมิตามสนามบิน สถานีรถไฟ สถานีขนส่ง แม้ว่าหลายสถานทูตในจีนจะยังไม่ประกาศเตือนภัย แต่ก็มีการออกคำแนะนำหลายประการแล้ว หลายสถานทูตยังคงติดต่อโดยตรงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล รวมถึงกระทรวงสาธารณสุข ทั้งหมดซึ่งชี้วัดถึงความน่าเป็นห่วงของการระบาด หลายประเทศเริ่มสั่งห้ามบินเข้า-ออกจากจีน ยกเว้นเพื่อการอพยพพลเมืองหรือผู้ที่ติดเชื้อจากโรค

คณะกรรมการสาธารณสุขของจีนบันทึกว่า เพียงวันที่ 8 กุมภาพันธ์วันเดียว ก็มีผู้เสียชีวิตจากโคโรนาไวรัสถึง 89 ราย จนมีผู้เสียชีวิตรวมกันในเวลานั้นถึง 811 คนในจีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่โรคซาร์สคร่าชีวิตไป 772 ราย

ตอนนี้สำนักงานสถิติแห่งชาติเผยให้เห็นแล้วว่า โคโรนาไวรัสได้ทำลายสถิติแซงโรคซาร์สไปแล้ว

 

ทั้งนี้ ตัวเลขจากเวิลด์มิเตอร์ ระบุข้อมูล ณ วันที่ 9 มีนาคม ว่าในจีนมีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 80,000 คน เสียชีวิตแล้ว 3,120 ราย และรักษาหายแล้วกว่า 58,000 คน

ปัญหาคือ จีนรู้ถึงรายงานที่ล้มเหลวและรายงานความสำเร็จที่เกินจริง เท่ากับว่าจีนยังไม่สามารถควบคุมการติดเชื้อได้และความเสียหายอาจสูงกว่าตัวเลขในรายงานก็เป็นได้

บทเรียนที่ได้จากกรณีของจีน สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การตอบสนองจากทีมแพทย์และการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อเพิ่มการเฝ้าระวังโดยมุ่งการยับยั้งการติดเชื้อโดยเร็วที่สุด