จักรกฤษณ์ สิริริน : จาก Instagrammable ถึง TikTok ระเบิดลูกใหม่ Marketing 5.0

แม้จำนวนผู้ใช้ LINE ในบ้านเราจะมี Traffic ที่ค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น คือมีปริมาณมากถึง 44 ล้าน Account จากการเปิดเผยข้อมูลของ LINE Thailand

ทว่า อัตราส่วนโดยภาพรวมของ LINE User ในบ้านเรายังถือว่า “อยู่ในวงแคบ” หากเปรียบกับ Platform อื่นๆ ในกลุ่ม Social Media

การ “จำกัดวง” ของ LINE มีที่มาจากลักษณะเฉพาะของ LINE เอง ไม่ได้เกิดจากจำนวนคนใช้ หรือปริมาณการรับส่งข้อความในแต่ละวันนะครับ

ซึ่งลูกค้า LINE เองคงทราบดีว่า การสื่อสารผ่าน LINE นั้นยัง “อยู่ในวงแคบ” ดังที่กล่าวไป

แม้ LINE จะมี Feature การตลาดอย่าง LINE@ LINE TV หรือ Timeline และ LINE Today แต่การกระจายตัวยังไม่อาจเทียบได้กับ Facebook Twitter หรือ Instagram

เพราะรูปแบบของ LINE เน้นการสื่อสารแบบตัวต่อตัว หรือกลุ่มเฉพาะมากกว่าการ Broadcast ของ Social Media อื่นๆ นั่นเอง

อย่างไรก็ดี Platform แบบ LINE ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักของนักการตลาดในบ้านเรา เคียงคู่กับ Facebook ที่ก็มีปริมาณคนใช้งานมากไม่แพ้กัน คือมีจำนวน 45 ล้าน Account ตามรายงานของ Customer Insight

 

แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา แฟนพันธุ์แท้ Facebook เริ่มไม่พอใจ Marketing Algorithm ที่จำกัดการติดตามข้อมูลในหน้า Feed คือ Facebook จะเป็นผู้กำหนด ว่าจะเอาหน้า Page ของใครมาให้เราดู และเป็นคนเซ็นเซอร์ให้เราเสร็จสรรพ ว่าดูอะไรได้เมื่อไหร่ก็ตาม

ความหงุดหงิดดังกล่าวเกิดจาก ปัจจุบันในวันหนึ่งหนึ่ง หน้า Feed ของ Facebook มักปรากฏ Status คำว่า “ได้รับการสนับสนุน” ในปริมาณมากกว่า Status ของ “เพื่อน” ซึ่งถือว่าผิดหลักปรัชญาดั้งเดิมของ Facebook

ยังไม่นับการ “ซ่อน Status” และ “ซ่อน Like” โดยโชว์แต่ “โฆษณา” “โฆษณา” และ “โฆษณา” ให้เราดู จากเช้าจรดค่ำ

เมื่อ LINE ยังจำกัดตัวอยู่ในกลุ่มเฉพาะ Facebook ก็เริ่ม “เปลี๊ยนไป๋” นักการตลาดจึงคิดหาทางออกใหม่ๆ ให้กับ Marketing Strategy ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Twitter Instagram หรือ TikTok ก็ตาม

 

Twitter นั้นถือเป็น Social Media ตัวแรกๆ ที่ตีคู่มากับ Instagram ก่อนหน้าการระเบิดฟอร์มของ Facebook และ LINE ในเมืองไทย

หากเราย้อนกลับไปตอนเปิดตัวใหม่ๆ ต้องยอมรับว่า ในระดับ International นั้น Twitter คือ Social Media ที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในโลกตะวันตกครับ

แต่เพราะ Twitter ไม่ค่อยตรงจริตกับคนไทยที่ชอบใช้ Function ชนิดเต็มรูปแบบเหมือน Facebook ทำให้ Twitter ถูก Facebook แซงหน้าแบบไม่เห็นฝุ่นในบ้านเรา

กระนั้นก็ดี ห้วงปีสองปีที่ผ่านมา ยอดผู้ใช้งาน Twitter ได้กระเตื้องขึ้นมามาก จากปัญหา Facebook “เปลี๊ยนไป๋”

โดยข้อมูลจาก Wisesight ชี้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ใช้งาน Twitter จำนวน 8 ล้านคน และ Instagram จำนวน 13 ล้านคน

แม้จะดูห่างชั้นกับ Facebook และ LINE อย่างมาก ทว่า หากดูอัตราการเติบโตของ Twitter ที่มากถึง 80% ขณะที่ Instagram เพิ่มขึ้น 24% ส่วน Facebook โตแค่ 4%

ซึ่งทำไปทำมา ดูเหมือนว่า ทั้ง Twitter และ Instagram กำลังมองข้าม Facebook และ LINE ไปแล้ว ด้วยการแข่งขันกันเอง

โดยมี TikTok น้องน้อยตามดูอยู่ห่างๆ

 

โดยต้องยอมรับว่า Twitter นั้นทรงพลังกว่า Instagram มากมายหลายเท่า ด้วย Feature ระดับโลกคือ Hashtags ที่มีอิทธิพลค่อนข้างสูงในวงการ Social Media ทำให้มีความพยายามสร้างลูกเล่นใหม่ๆ จาก Instagram มาโดยตลอด

ล่าสุด มีการสร้างกระแส Instagrammable ขึ้นในแวดวงธุรกิจระดับโลก เพื่อหวังจุดชนวนกลยุทธ์ใหม่ทางการตลาด

Instagrammable คือ Trend ของการออกแบบ “หน้าร้าน” ให้เหมาะกับการ Selfie มากที่สุดครับ

แปลไทยเป็นไทยก็คือ Instagrammable กำลังสั่นคลอนจิตใจบรรดาสถาปนิกเป็นอย่างมาก เมื่อปรัชญาการก่อสร้างร้านรวงต่างๆ เปลี่ยนจาก Function การใช้งาน มาสู่ Location สำหรับถ่ายรูป!

 

ร้านกาแฟ และร้านอาหาร คือเป้าหมายอันดับหนึ่งของ Instagrammable ที่ทุกวันนี้ นอกจากเจ้าของร้านจะต้องขวนขวายวิธี “ตกแต่งจานอาหาร” หรือ “สร้างลวดลายบนฟองกาแฟ” เพื่อเอื้อให้กับ “วัฒนธรรมการถ่ายอินสตาแกรม” แล้ว

ยังต้องดูฮวงจุ้ยเพื่อทำ Landscape ร้านใหม่ให้สอดคล้องกับ Instagrammable อีกด้วย

โดยเฉพาะเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึงนี้ เราจะได้เห็นร้านรวง Brand ดังต่างๆ ในห้างสรรพสินค้า ทยอยปรับกลยุทธ์รับ Instagrammable กันอย่างคึกคัก

เรียกได้ว่า ไม่ซื้อไม่หา ไม่ว่าอะไร ขอเชิญถ่ายรูปคู่ Brand ได้ฟรีๆ ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการโปรโมตร้านใน Instagram นั่นเอง

 

ปัจจุบัน นอกจากร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านค้า Brand ต่างๆ ในห้างแล้ว Instagrammable ยังลามไปถึง Event เกือบทุกชนิด ทั้ง Indoor และ Outdoor โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่ดูเหมือนว่าจะตรงจริตกับ Instagrammable มากที่สุด ไม่เว้นแม้กระทั่งสถาบันการศึกษา

และนอกจากกระแส Instagrammable ที่กำลังออกอาละวาดอยู่นี้ ยังมีอีก Platform หนึ่งซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองของนักการตลาดยุค 5.0 ในฐานะคู่แข่งของ Twitter Facebook และ LINE

นั่นคือ TikTok ครับ

TikTok เป็น Application ในรูปแบบ Short Video ผลผลิตของ ByteDance บริษัทไอทีสัญชาติจีน

ข้อมูลจาก Oberlo ระบุว่า ปัจจุบัน TikTok มี User จำนวน 1,500 ล้านคนทั่วโลก อัตราเติบโต 70% ในปี 2019 และมียอดคนดู 1 ล้านวิวต่อวัน โดย Generation Z มีสถิติการใช้ TikTok มากกว่า Generation อื่นๆ ทั้งหมด ยอดอยู่ที่ 51%

TikTok จึงถือเป็น Trend ใหม่สำหรับนักการตลาด และกำลังได้รับการจับตามองจากวงการเอเจนซี่โฆษณาระดับโลกอยู่ในเวลานี้

 

ดังที่กล่าวไปว่า TikTok คือ Application ในรูปแบบ Short Video มีจุดเด่นคือการสร้างวิดีโอเพื่อลิปซิ้งเพลงฮิตในยุคต่างๆ โดยเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา TikTok เองก็เคยเป็น Application ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยในกลุ่มวัยรุ่นไทยเหมือนกัน ก่อนจะซาๆ ลงไปในช่วงหลังๆ มานี้

จากฐานผู้ใช้จำนวนมหาศาลข้างต้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ และจากสถาปัตยกรรมของ TikTok ที่ออกแบบมาเพื่อสอดรับกับไลฟ์สไตล์ Generation Z ที่ไม่นิยมดูอะไร ฟังอะไร หรืออ่านอะไรนานๆ เพราะความยาววิดีโอของ TikTok อยู่ที่ 15 วินาทีเท่านั้น

ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในแวดวงการตลาดว่า วัยรุ่น คือกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากที่สุด ดังนั้น การที่ TikTok เจาะฐาน Generation Z ได้แบบนี้ จึงได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน

นำไปสู่การที่ Google กระโดดลงมาเล่นในตลาด Short Video เพื่อท้าชน TikTok โดยตรง เพราะเป็นที่รู้กันดีในวงการ ICT ว่า ถ้าธุรกิจไหนมีแนวโน้มทำกำไรได้มาก Google ก็จะเข้ามา

กล่าวโดยสรุปแล้ว TikTok ก็ไม่ต่างจาก Instagram และเหมือนกับ Application บน Social Media อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Twitter Facebook LINE หรือ YouTube ที่ต่างกำลังหาทางเดินของตัวเอง ท่ามกลางการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในยุค Digital

โดยในเฉพาะในโลกของการตลาดยุค 5G หรือ Marketing 5.0 ขณะนี้ครับ