ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม - 6 มิถุนายน 2562 |
---|---|
เผยแพร่ |
กระแสการเมืองบนโลกออนไลน์ในกลุ่มคนรุ่นใหม่กลับมาคึกคักอีกครั้ง
หลังมีวาระการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญ พาเอาแฮชแท็ก #เปิดสภา และ #ประชุมสภา ในทวิตเตอร์พุ่งทะยานแตะหลักล้านภายในไม่กี่ชั่วโมง
ไฮไลต์สำคัญของวันดังกล่าวมีด้วยกันหลายช่วงหลายตอน
ทั้งวาระหลักในการเลือกประธานสภาที่กินเวลายืดเยื้อยาวนานนับสิบชั่วโมง
รวมถึงเหตุการณ์ที่กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ตลอดทั้งวัน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งด่วนส่งตรงมายังที่ประชุมสภาถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้ยุติบทบาท ส.ส.ลงชั่วคราวทันที
นับตั้งแต่ที่เราได้ยินชื่อของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอนาคตไกลคนนี้ประกาศกร้าวจะลงมาทำงานการเมืองเต็มตัว ด้วยท่าทีที่ดุดันบวกกับมาดแบบนักธุรกิจก็ทำเอาหลายคนอดคิดไม่ได้ว่าธนาธรอาจจะเป็นเพียงโมเดล “ทักษิณ 2” อีกคนหรือไม่
กระทั่งพรรคอนาคตใหม่เริ่มฟอร์มทีมขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นร่าง มีการวางกรอบทิศทางอุดมการณ์ที่ชัดเจน
บรรดาสมาชิกพรรคที่มีความแตกต่างหลากหลาย และตัวเขาเองก็กลับมาโดดเด่นได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นกับลีลาการดีเบตที่เผ็ดร้อน ตรงไปตรงมา
สามารถซื้อใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงกลุ่มคนรุ่นเก่าที่เริ่มเอือมระอากับสภาวะ “ลายพรางครองเมือง” กันเต็มทน
ฟีดแบ็กอันท่วมท้นของธนาธรกลายเป็น “วัตถุอันตราย” สำหรับขั้วอำนาจเก่าทันที
และยิ่งเคลื่อนเข้าสู่สภาวะของ “วัตถุอันตรายที่ต้องถูกกำจัด” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลังผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไม่แป็นทางการ
กลยุทธ์ในการสาดโคลนแบบบ้าคลั่งโดยพุ่งเป้าที่ตัวบุคคลอย่างตรงไปตรงมาสะท้อนไปถึงฐานคิดสำคัญของรัฐที่พยายามจะใช้การครอบงำ (Domination)
วิธีสุดคลาสสิคในการไล่บี้ “สิ่งใหม่” อย่างธนาธร ราวกับว่าคนแบบเขาได้เข้ามาเขย่าชุดความจริงเดิมให้เริ่มปริแตกทีละเล็กละน้อย
ขั้วอำนาจเก่าเริ่มใช้วิธีการครอบงำทางความคิดด้วยการสถาปนาชุดคุณค่าแบบหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้คนอื่นๆ รู้สึกว่าสิ่งที่ตนถืออยู่ถูกต้อง
และธนาธรคือสิ่งแปลกปลอมอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ
ตั้งแต่การตัดแปะข้อความบางช่วงบางตอน การใส่ร้ายป้ายสีด้วยการตัดต่อคลิปเสียงที่สุดจะไม่เนียน
และที่ขาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือการดึงเอาเรื่องสถาบันมาเกี่ยวพันกับปูมหลังของเขา เพื่อทำให้ธนาธรกลายเป็นคนที่ขัดต่อคุณค่าพื้นฐานที่กลายเป็นหลักการสำคัญของประเทศไปโดยปริยาย
การครอบงำด้วยวิธีการเช่นนี้จะฟังก์ชั่นได้ดีก็ต่อเมื่อเราอยู่ในสังคมที่มีการจัดจำแนกคุณค่าต่างๆ รวมถึงอนุญาตให้ปัจเจกยึดถือคุณค่าแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น
เมื่อความแตกต่างของคุณค่าเหล่านั้นถูกใช้เป็นไม้บรรทัดสำหรับชี้วัดสิ่งต่างๆ หรือกระทั่งมนุษย์ด้วยกันเอง ทั้งหมดจึงทำให้เรามองคนอื่นๆ บนฐานคิดที่เป็นเส้นตรง ด้วยกรอบของสังคมไทยที่ถูกปลูกฝังจากทุกสถาบันทางสังคมให้เราคิด เราเชื่อ เราเห็นพ้องในระนาบเดียวกันเสมอ
เมื่อสิ่งแปลกปลอมอย่างธนาธรมีพฤติกรรม คำพูด การวางตัวที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจเดิมๆ จึงไม่แปลกที่อำนาจเก่าหรือกระทั่งรัฐเองจะเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจ
และทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาออกไปจากเขตหวงห้ามแห่งนี้เสีย
แม้ว่ารัฐและขั้วอำนาจเดิมจะพยายามสร้างสถานการณ์ที่บีบรัดธนาธรขนาดไหน เขาก็ยังกัดฟันสู้มาโดยตลอด กระทั่งไม่ได้รับสิทธิการอภิปรายในสภา
แต่ธนาธรยังคงแสดงสปิริตด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพิธีปฏิญาณตน และเมื่อมีคำสั่งให้ยุติการทำหน้าที่ชั่วคราว เขาก็ยังได้รับความสนใจจากประชาชนหลายกลุ่ม รวมถึงบรรดาสื่อมวลชนเองที่แม้ธนาธรจะไม่มีโอกาสทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม แต่เขายังคงได้พื้นที่สื่อในการส่งสารถึงพี่น้องประชาชนอย่างสง่างาม
สถานะของธนาธรที่ “ฆ่าไม่ตาย” สักทีแบบนี้ยิ่งทำให้เราเห็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เต็มไปด้วยการต่อต้าน (Resistance) อย่างไม่หยุดยั้งมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
การต่อต้านในแบบธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้ถูกจำกัดในรูปแบบของพรรคการเมืองเท่านั้น
แต่ยังขยายไปยังทุกระดับเพราะทุกครั้งที่มีการต่อต้านเกิดขึ้นมันจะไม่เกิดในระดับบุคคล แต่จะค่อยๆ ก่อลักษณะร่วมบางอย่างที่มีความสามารถตัดผ่านข้ามพรมแดนพื้นที่แห่งปัจเจกบุคคลได้
เมื่อธนาธรและพรรคสามารถทำให้คนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาตั้งคำถาม มองปรากฏการณ์ วิพากษ์วิจารณ์สังคมต่อสาธารณะ โดยที่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่รู้สึกเกรงกลัวในอำนาจอีกต่อไป
นี่จึงถือเป็นการบรรลุเป้าหมายของพรรคไปแล้วส่วนหนึ่ง
ผู้เขียนถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดด้วยซ้ำ เพราะหัวใจสำคัญของการต่อต้าน คือการสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงระบอบเก่าได้
บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องทลายระบอบให้สิ้นซาก เพียงแต่สามารถสะกิดให้มวลเหล่านั้นเริ่มรู้สึกถึงความไม่สบายตัว หรือถูกรบกวนตรวจสอบได้บ้างก็นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลง
จึงไม่ต้องแปลกใจที่หัวโจกอย่างธนาธรตกเป็นเป้าสำคัญในการบ่อนทำลายการต่อต้านเหล่านี้ชนิดที่กัดไม่ปล่อยกันเสียที
การต่อต้านที่ยาวนานและต่อเนื่องของพรรคค่อยๆ ก่อหวอดสงครามมากขึ้นเรื่อยๆ
จนพลังแห่งการต่อสู้เหล่านี้จับกลุ่มรวมตัวเป็นมวล “power” ขนาดมหึมา
ก้อนแห่งขุมพลังเหล่านี้ไม่ได้กระจุกอยู่ที่ตัวของปัจเจกหรือธนาธรเพียงคนเดียวอย่างที่รัฐและกลุ่มอำนาจเก่าคิด
ดังที่ฟูโกต์ได้นิยามไว้ว่า ความสัมพันธ์ทางอำนาจหรือ “mode of action” เป็นความสัมพันธ์ที่กระทำอยู่บนสิ่งใดๆ ก็ได้ แอ๊กชั่นทั้งหมดนี้ไม่ได้จำกัดว่าพวกคุณต้องชนะรัฐเป็นคำตอบเดียวเท่านั้น
แต่กลุ่มก้อนพลังนี้ยังต้องเผชิญกับการต่อสู้ การแตกหัก การถูกบ่อนทำลาย หรือท้ายที่สุดอาจนำไปสู่การเกิดขึ้นของสิ่งใหม่ๆ ก็เป็นได้
ในที่นี้จึงหมายความว่า การคิดจะกำจัดธนาธรเพียงคนเดียวคล้ายกับเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” นั้นคงไม่สามารถสยบ “power” ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อีกต่อไป
ในทางกลับกันการที่รัฐพยายามวิ่งไล่จับคนคนเดียวอย่างออกนอกหน้า ในขณะที่คดีของกลุ่มการเมืองอื่นๆ กลับถูกเพิกเฉยต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศก็ยิ่งเป็นการโหมไฟให้ปะทุลุกโชนมากขึ้น
และหากเราลองไล่เรียงดูบรรดาความเห็นของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในสื่อโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ การออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองจึงออกไปในทิศทางที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา ร้อนแรง วิพากษ์วิจารณ์กันด้วยเหตุผล และหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ตลอด 5 ปีเศษและอาจจะต่อเนื่องยาวนานไปอีก 4 ปีหลังจากนี้ในห้วงเวลาทางประวัติศาสตร์การเมืองที่มีขุมพลังคนรุ่นใหม่ถือกำเนิดขึ้น
ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าทุกคนคงต้องเผชิญกับกลยุทธ์ที่รัฐจะงัดง้างออกมาใช้กับผู้ที่เริ่มตั้งคำถามกับชุดคุณค่าเดิม การปกครองชีวญาณที่รัฐพยายามหยิบจับยัดใส่ให้ผู้คนรู้สึกว่าชีวิตที่ดีคืออะไร ทำให้คิดว่าอะไรคือความทุกข์ ทั้งจากบรรดานโยบายประชานิยมที่ออกมาต่อเนื่อง และการสาดโคลนในรูปแบบเดิมๆ จะไม่สามารถใช้งานกับกลุ่มคนเหล่านี้ได้อีกแล้ว
เมื่อเราเริ่มตั้งคำถาม เคลือบแคลงสงสัย รัฐจึงพยายามฟังก์ชั่นอำนาจในปริมาณมากๆ โดยเลือกธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เป็นเป้าหลัก
แต่แน่นอนว่ายิ่งรัฐใช้อำนาจเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า รัฐสูญเสียศรัทธาในการปกครองไปแล้วโดยสิ้นเชิง
“อาวุธที่คนรุ่นใหม่มีและขั้วอำนาจเก่าไม่มีทางสู้ได้คือระเบิดเวลา” ประโยคนี้แปลความได้หลายมิติ แง่หนึ่งอาจจะดูมีความหวังจุดไฟให้คนรุ่นใหม่ แต่แง่หนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่า เราต้องรอเพียงเวลาเท่านั้นหรือที่จะเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนชุดความจริงใหม่ๆ ให้มีที่ยืนในสังคมบ้าง
ผู้เขียนเชื่อว่าทุกการเปลี่ยนแปลงไม่เคยได้มาในระยะเวลาสั้นๆ เวลาอาจจะดูเป็นทางออกที่ฟังดูลมๆ แล้งๆ แต่หลายครั้งเวลาก็ทำให้ผู้คนได้เรียนรู้ตกผลึกอะไรอีกมาก
กรณีเลือกตั้งซ่อมที่ จ.เชียงใหม่สะท้อนถึงพลานุภาพของอาวุธแห่งกาลเวลาได้ดีที่สุด
สังคมที่เต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลายคงต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ เรียนผูกเรียนแก้ไปพร้อมๆ กัน
เหมือนกับที่ธนาธร พรรคอนาคตใหม่ Futurista และกลุ่ม New Voter ได้พยายามร่วมกันมาจนถึงบัดนี้