วิเคราะห์ : ธนาธร-อนาคตใหม่ ฝ่าดง ‘ระเบิด’

ในประเทศ ฝ่าดง ‘ระเบิด’

เป็นธรรมดา เมื่อกระแสมา

แรงเสียดทานก็ย่อมทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

จึงไม่น่าประหลาดใจ ที่ตอนนี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคอนาคตใหม่ รวมทั้งสมาชิกพรรคคนสำคัญ กลายเป็นเป้าหมายถูกจับผิด ถูกร้องเรียน ถูกใส่ร้าย ด้วยสารพัดวิธี

และคาดหมายว่า ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง

ยิ่งจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นอีก

นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ เจอหนักขาดไหน

ดูได้จากกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สั่งลบ 12 โพสต์ผิดกฎหมายเลือกตั้ง นั้น

ปรากฏว่า 3 ใน 12 มุ่งไปที่พรรคน้องใหม่อย่างอนาคตใหม่

คือ

  1. บัญชีเฟซบุ๊ก Watsawan Yensuk โพสต์ภาพนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยมีข้อความว่า “ยังไม่ทันไรสันดานโกงก็โผล่แล้ว! #ยายลั่นไม่เอาอนาคตใหม่!!”
  2. เพจเฟซบุ๊กสนับสนุนลุงตู่เป็นนายกฯ คนที่ 30 โพสต์ภาพนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยมีข้อความว่า “ภาพหลุดอนาคตใหม่ ดับความชั่วความเลวเปิดเผย” และข้อความว่า “ชัดเจน! ใครเผาประเทศ!”
  3. กรณีบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Ziko Mesa โพสต์รูปภาพนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยมีข้อความโจมตีบุคคลดังกล่าวข้อความว่า “แนวคิดจุดยืนชัดเจนเป็นภัยต่อความมั่นคง! ของชาติ!”

สะท้อนให้เห็นว่า พรรคอนาคตใหม่และนายธนาธร ร้อนและเจอข้อกล่าวหา “หนัก” เพียงใด

โดยเฉพาะที่ กกต.นั้น นอกจากแสดงบทบาท ปกป้องด้วยการสั่งลบโพสต์ที่ผิดกฎหมายแล้ว

กกต.ก็ยังเป็น “เขียง” ที่จะเชือดนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ด้วย

โดยมีมือดีเข้าไปตรวจสอบเว็บไซต์พรรคอนาคตใหม่ แล้วพบว่า ขึ้นประวัตินายธนาธรผิด

คือระบุว่า เคยดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 2 วาระติดต่อกัน

ทั้งที่เคยดำรงตำแหน่งเพียงประธานสภาอุตสาหกรรม จ.นครนายก

โดยความผิดดังกล่าวถูกทิ้งไว้นาน 5 เดือนกว่าจะแก้ไข ส่อเจตนาเข้าข่ายหลอกลวงเพื่อเรียกคะแนนเสียง

เมื่อเรื่องโด่งดังขึ้น แม้พรรคอนาคตใหม่จะลบข้อความออกไป

แต่เรื่องไม่จบ

เมื่อนายศรีสุวรรณ จรรยา อุปนายกและเลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือร้องต่อ กกต.

ให้สืบสวน ไต่สวนและวินิจฉัยความผิดของนายธนาธร อาจเข้าข่ายจงใจเจตนาหลอกลวงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง หรือจูงใจให้เข้าใจผิด ให้คะแนนนิยมผู้สมัครหรือพรรคการเมืองตามมาตรา 73(5) ของ พ.ร.ป.การเลือกตั้ง 2561

มีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ และสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 20 ปี

ซึ่ง ร.ต.อ.มนูญ วิเชียรนิตย์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสืบสวนสอบสวน ในฐานะประธานกรรมการสืบสวนและไต่สวน ได้รับคำร้องไว้ดำเนินการไต่สวนแล้ว

กลายเป็น “ดาบ” ปักหลังนายธนาธรอีกเล่มหนึ่ง

 

ที่ว่าเป็นดาบปักหลังอีกเล่มหนึ่งนั้น

ก็เพราะก่อนหน้านี้

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายไกลก้อง ไวทยการ นายทะเบียนพรรค และ น.ส.จารุวรรณ ศรัณย์เกตุ กรรมการบริหารพรรค

ตกเป็นผู้ต้องหา คดีที่ถูก พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ในฐานะตัวแทนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แจ้งข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2) ฐานผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกต่อประชาชน

จากกรณีจัดรายการ “คืนวันศุกร์ให้ประชาชน” ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ในเพจอนาคตใหม่ – The Future We Want และเพจ Thanathorn Juangroongruangkit วิจารณ์กระแสข่าวกรณีพลังดูดของ คสช. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2561

ความคืบหน้าในกรณีนี้ อยู่ที่อัยการ โดยนายวิเชียร ถนอมพิชัย อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อรับผิดชอบพิจารณาสำนวน

เป็นอีกคดีที่ติดตัวนายธนาธรกับพวก บนเส้นทาง “การเมือง” ที่กำลังบ่ายหน้าไป

 

ในกรณีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับนายธนาธร แต่ก็เกี่ยวข้องกับพรรคอนาคตใหม่

เมื่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. จับกุม 6 ผู้ต้องหา

ที่มีพฤติกรรมเผยแพร่หรือส่งต่อข้อความ-ข่าวสารอันเป็นเท็จ กรณีเผยแพร่ข่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดื่มกาแฟแก้วละ 12,000 บาท โดยใช้งบฯ สวัสดิการในตำแหน่ง รวมเป็นเงิน 82,000 บาท ก่อให้เกิดความเสียหายกับหน่วยงานรัฐและความมั่นคงของชาติ

ปรากฏว่า 1 ใน 6 ผู้ต้องหา มี พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ร่วมอยู่ด้วย

โดย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ยืนยันว่าเป็นการดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมาย หลังตรวจสอบเบื้องต้นพบ เว็บไซต์ www.one31news.com ที่เผยแพร่ข่าวเท็จและ พล.ท.พงศกรแชร์ข่าวนั้นที่มีต้นทางอยู่ในต่างประเทศ เครือเดียวกับเว็บไซต์ jookthai ที่มีการแชร์ข่าวเท็จและจับกุมไปก่อนหน้านี้

ยืนยันว่าการดำเนินคดีกับรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้มีใบสั่งทางการเมือง ขอประชาชนอย่ากังวล

แต่ น.ส.พรรณิการ์ วาณิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ชี้แจงว่า แม้ พล.ท.พงศกรเป็นหนึ่งในผู้แชร์ข่าว พล.อ.ประวิตร ช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้จริง

แต่เมื่อทราบว่าเป็นข่าวปลอม ก็รีบลบ แล้วรีบชี้แจงขอโทษพร้อมยืนยันเจตนาว่าไม่ได้ตั้งใจ และโพสต์ดังกล่าวอยู่บนหน้าเฟซบุ๊กเพียงไม่กี่นาที

แต่กลับนำมาสู่การดำเนินคดี 1 ใน 6 คน โดยใช้ พ.ร.บ.คอมพ์ เช่นเดียวกับกรรมการบริหารพรรค 3 คนที่โดนคดีก่อนหน้า

นี่เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ หรือเป็นความจงใจที่จะสกัดกั้นพรรคพรรคอนาคตใหม่เป็นระลอก 2 ในการใช้ พ.ร.บ.คอมพ์เล่นงานหรือไม่

นอกจากนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ จะเจอเล่นงานในเรื่องคดีความแล้ว

ที่ผ่านมายังถูกโจมตีในประเด็นละเอียดอ่อน เช่น การชูประเด็นที่สานต่อภารกิจคณะราษฎร พ.ศ.2475

ซึ่งนำไปสู่การปลุกกระแสว่า นายธนาธรต้องการอะไร เกี่ยวข้องกับประเด็น ม.112 หรือไม่

ซึ่งนายธนาธรก็ได้ใช้เฟชบุ๊กส่วนตัวชี้แจงว่า

“ทุกสังคมการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ไม่เหมือนกันแล้วก็ไม่ง่ายเลย

บางสังคมอยู่ภายใต้สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผ่านการเป็นอาณานิคม เมื่อเป็นอาณานิคมแล้วถูกเผด็จการทหาร แล้วก็ถึงเป็นประชาธิปไตย

บางสังคมจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็เข้าสู่ประชาธิปไตยเลย

บางสังคมก็จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ผ่านสังคมนิยม จนถึงเป็นประชาธิปไตย

ดังนั้น แต่ละรูปแบบในการเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตยมันไม่เหมือนกัน

ของประเทศไทยผ่านไปเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ เพราะมี ‘เผด็จการทหาร’ เข้ามากั้นระหว่างช่วง

ดังนั้น ความตั้งใจของผมเรียบง่าย เราเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตย เป็นระบอบที่เหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด

ดังนั้น จึงอยากจะทำเรื่องนี้ให้เป็นจริง อำนาจสูงสุดในการปกครองบริหารประเทศเป็นของประชาชนง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน”

ฝ่ายตรงข้ามฟังคำชี้แจงนี้แล้ว จะหยุดไล่ล่าประเด็นนี้หรือไม่

ยังเป็นคำถามอยู่

เพราะว่าไปแล้ว กรณีนี้ถือเป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามมองว่าเป็น “จุดอ่อน” และพร้อมจะใช้เป็นอาวุธ “ลับ” ถล่มนายธนาธรกับพวกอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ในฐานะนักธุรกิจและเข้าไปถือหุ้นในหลายบริษัทก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่นายธนาธรถูกเข้าไปจับผิด

ล่าสุดนายธนาธรได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า

“มีความพยายามที่จะทำลายผมและพรรคอนาคตใหม่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง

ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดและเกลียดชังผม

เมื่อสื่อบางสำนัก เขียนเรื่องหุ้นปิคนิค (PICNI)

มีการพยายามโยงว่าเกี่ยวข้องกับคดีอื้อฉาวของนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน ผู้ถือหุ้นเดิม และผมอยู่ในเครือข่ายอุปถัมภ์เดียวกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่

ผมขอชี้แจงดังนี้

  1. ไม่เคยรู้จักและไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับคุณสุริยา
  2. ผมเข้าไปลงทุนหลังคดีความของปิคนิคเดิมที่เกี่ยวข้องกับคุณสุริยาหลุดจากบริษัทปิคนิคไปแล้ว
  3. ผมตัดสินใจช่วยเพราะผมได้ put option ที่จะทำให้ผมขายคืนได้ด้วยผลตอบแทนร้อยละ 7-8 ต่อปี
  4. ตลอดเวลาที่ผมถือหุ้นอยู่ ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการบริหารบริษัท หรือกระทำการใดๆ”

นอกจากนี้ นายธนาธรยังชี้แจง “ในกรณีของบริษัท วัน โอ ซี คอร์โปเรชัน จำกัด มีความพยายามที่จะทำให้ประชาชนเชื่อว่า บริษัทวัน โอ ซีที่ผมถือหุ้นอยู่ ทำกิจการโรงเลื่อยและสัมปทานค้าไม้ จนทำให้มีคนนำเรื่องนี้ไปโจมตีต่อว่าเป็นโรงเลื่อยเถื่อนและทำลายป่าไม้

ทั้งที่บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทที่ผมเตรียมไว้ใช้ในธุรกิจส่วนตัว

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้บริษัทนี้แต่อย่างใด

สถานะของบริษัทนี้ตลอดมาเป็น sleeping company ปัจจุบันบริษัทนี้อยู่ในระหว่างปิดกิจการ

ดังนั้น การนำเอาวัตถุประสงค์ของบริษัท วัน โอ ซี เพียงบางข้อในหนังสือจดทะเบียนนิติบุคคลมากล่าวหาว่าผมเป็นเจ้าของโรงเลื่อยและสัมปทานค้าไม้โดยไม่มีหลักฐานอื่นใดมายืนยัน จึงเป็นการสร้างข่าวเท็จ

ที่มุ่งหวังจะสร้างความเกลียดชังในสังคม

ต้องยอมรับว่าผมเสียดายอย่างยิ่งสำหรับสำนักข่าวที่เป็นผู้จุดประเด็นนี้ ยืนยันในข้อเท็จจริงทั้งสองกรณี สำนักข่าวใดมีข้อเท็จจริงหักล้าง ยินดีรับฟัง แต่หากไม่มีหลักฐานพิสูจน์คำกล่าวหา กรุณาอย่าทำลายกันด้วยการเมืองแบบนี้” นายธนาธรระบุ

 

นี่คือสิ่งที่นายธนาธรเผชิญการกล่าวหาทั้งทางคดีอาญา ข้อกล่าวหาทางการเมือง รวมถึงธุรกิจ

แน่นอนย่อมเหน็ดเหนื่อต่อการชี้แจงและแก้ข้อกล่าวหา

จนดูประหนึ่งเหมือนถูกวางทุ่นระเบิดไว้ให้เหยียบตลอดก้าวย่างบนถนนการเมือง

แต่ก็คงหลีกเลี่ยงยาก

โดยเฉพาะเมื่อนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ ถูกมองว่า กระแสความนิยมกำลังมา

หากไม่รีบสกัด อาจจะทำให้พรรคการเมืองของคนหนุ่มสาว

เขย่าการเมืองเก่าให้สั่นสะเทือนได้อย่างรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง!