ความเป็นธรรม 2 ศพ ‘7 ตุลาฯ’

AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

ไม่ว่าจะเป็นประชาชนกลุ่มไหน คิดแบบไหน สีไหน หากเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเปิดเผย ใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองในการชุมนุมประท้วงอย่างชอบธรรม ย่อมไม่ควรถูกปราบปรามจากรัฐ จนถึงขั้นต้องเสียชีวิต

อย่างเช่น 2 รายที่เสียชีวิต ในการเข้าร่วมเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551

อันเป็นคดีที่กำลังมีการพิจารณาทบทวนจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงกันในขณะนี้

ทั้งนี้ ในการพิจารณาถึงเหตุการณ์นี้และคดีที่มีการกล่าวหากันนี้ ควรต้องแยกแยะออกเป็น 2 ประเด็น

ประเด็นแรก คำสั่งของผู้นำรัฐบาลและผู้นำตำรวจในขณะนั้น เข้าข่ายความผิดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 หรือไม่

“ประเด็นต่อมา ผู้เสียชีวิต 2 รายในเหตุการณ์นี้ ไม่ควรตายฟรี จะต้องได้รับความเป็นธรรม หาตัวคนกระทำผิดจนทำให้ต้องถึงแก่ชีวิตได้อย่างไร!?”

ที่ควรจะต้องแยกพิจารณา ใน 2 ประเด็นนี้ เนื่องจากการสั่งการของผู้นำรัฐบาลและผู้นำตำรวจ ในการสลายการชุมนุมประท้วงของประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 นั้น ชัดเจนว่าสั่งการให้ใช้ตำรวจปราบจลาจลและแก๊สน้ำตา กระสุนยาง ซึ่งถือว่าเป็นการสั่งการตามมาตรฐานสากลใช้กันทั่วโลก

ดังนั้น การพิจารณาของ ป.ป.ช. ในประเด็นนี้ ยังจะมีผลผูกพันถึงรัฐบาลอื่นๆ ในภายภาคหน้าด้วย

“จะกลายเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินคดี อันจะกระทบต่อชีวิตของประชาชนที่จะใช้สิทธิทางการเมืองเพื่อชุมนุมในอนาคต!”

ส่วนกรณีผู้เสียชีวิต 2 รายในการร่วมชุมนุมดังกล่าว ก็ควรจะได้รับความเป็นธรรม และควรมีการสอบสวนหาความจริงที่ชัดเจน

ไม่ควรสรุปอย่างคลุมเครือ แล้วใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีกล่าวหากัน

สำคัญที่สุดจะได้ตอบกันให้ชัดว่า แก๊สน้ำตา ทำให้คนตายได้จริงหรือไม่

ในเมื่อมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกใช้กัน และถือว่าเป็นมาตรการที่ถูกต้องปกป้องชีวิตประชาชนที่ชุมนุมประท้วงได้ดีที่สุด ก็คือ เจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าสลายการชุมนุม ต้องใช้เพียงแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง

ในเมื่อปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในวันที่ 7 ตุลาคม 21551 ใช้เพียงกระสุนยางและแก๊สน้ำตา แต่กลับมีผู้เสียชีวิต 2 ราย โดยมีร่องรอยตามร่างกายว่าถูกระเบิด

จึงต้องตอบให้ชัดว่า ระเบิดที่คร่าชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้ง 2 รายนี้ เป็นระเบิดจากแก๊สน้ำตาจริงหรือ

หรือว่าเป็นระเบิดอื่น!

 

กล่าวในประเด็นการคืนความเป็นธรรมให้แก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ 2 รายนั้น หนทางที่ถูกต้องที่สุดคือ ควรจะรื้อฟื้นคดีขึ้นมา ตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานให้เป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปตามกระบวนการสืบสวนสอบสวน ตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์

ไม่ควรเป็นเรื่องที่สรุปอย่างคลุมเครือ เพื่อเป็นข้อกล่าวหากันในทางการเมือง

แต่แน่นอนว่า ทุกฝ่ายล้วนมีข้อสรุปตรงกันว่า การสลายม็อบ 7 ตุลาคม 2551 นั้น รัฐบาลและตำรวจปฏิบัติตามหลักสากล คือ ไม่มีการใช้อาวุธจริงกระสุนจริง ใช้เพียงกระสุนยางและแก๊สน้ำตาแน่นอน

กรณีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมนั้น รายหนึ่งเหตุเกิดภายในรถยนต์ และภาพจากกล้องทีวีเห็นชัดเจนว่า เป็นการระเบิดอย่างรุนแรงภายในรถ จนเป็นเหตุให้แกนนำผู้ชุมนุมคนดังกล่าวเสียชีวิต

“การเสียชีวิตของรายนี้ ค่อนข้างชัดว่า ไม่เกี่ยวกับปฏิบัติการใช้แก๊สน้ำตาของตำรวจ”

ส่วนผู้ชุมนุมอีกรายที่เสียสละชีวิต เป็นหญิงสาว เดินรวมอยู่กับผู้ร่วมชุมนุมรายอื่นๆ ขณะปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล

การสูญเสียของหญิงสาวรายนี้ มีการตั้งข้อสงสัยว่า แม้ตำรวจจะใช้เพียงแก๊สน้ำตา แต่อาจเป็นแก๊สน้ำตาที่หมดอายุ หรือเป็นแก๊สน้ำตาที่ผลิตในจีนซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงเกินปกติ

หากเป็นประเด็นนี้จริง ก็น่าคิดและยิ่งต้องหาข้อสรุปให้ได้ เพราะชัดเจนว่า ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่าแก๊สน้ำตาในบางประเทศมีผลรุนแรงไป หรือแก๊สน้ำตาหมดอายุมีผลร้ายแรงได้

ขณะเดียวกัน ฝ่ายตำรวจเอง เคยมีการสรุปผลตรวจพิสูจน์ร่างกายผู้เสียชีวิต โดยระบุว่า มีรอยไหม้ตามร่างกายที่เกิดจากแรงระเบิด

รวมทั้งระบุด้วยว่า มีสารอาร์ดีเอ็กซ์ปนเปื้อนอยู่กับร่างกายผู้ตาย

“ตำรวจยืนยันว่าแก๊สน้ำตานั้น ไม่มีส่วนผสมของสารอาร์ดีเอ็กซ์อย่างแน่นอน”

ปริศนาการเสียชีวิตของประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองทั้ง 2 รายนี้ ยิ่งสมควรได้รับการตรวจสอบหาข้อสรุปใหม่ที่ชัดเจน

เพื่อจะเป็นข้อสรุปป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแรงเช่นนี้ได้อีก

มาจากแก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้ในวันนั้นจริงหรือไม่ หรือมาจากการระเบิดของสิ่งอื่น

ถ้ามีคำตอบที่ชัดเจน ถ้าเชื่อได้ว่าเป็นผลมาจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่หรือเครื่องไม้เครื่องมือของเจ้าหน้าที่ ก็จะได้นำมาสู่การหาตัวคนผิด

หรือไม่ให้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ปราบจลาจลในภายหน้า เกิดความผิดพลาดจนทำให้คนตายได้อีก

 

เทียบกับเหตุการณ์สลายม็อบปี 2553 ที่มีคนตายถึง 99 คน โดยรัฐบาลชุดนั้นซึ่งใช้อำนาจ ศอฉ. สั่งเจ้าหน้าที่หน่วยรบพร้อมอาวุธจริงเข้าทวงคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุม โดยให้ใช้กระสุนจริงได้เพื่อป้องกันตัว ภายใต้ข้ออ้างว่ามีผู้ก่อการร้ายใช้อาวุธแฝงอยู่กับม็อบ

สุดท้ายผู้ตาย ไม่มีแม้แต่รายเดียวที่มีอาวุธในมือ หรือเป็นผู้ก่อการร้าย คดีนี้ ป.ป.ช. ชี้ว่ารัฐบาลไม่มีความผิด

ส่วนคดี 7 ตุลาคม 2551 รัฐบาลและตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ไม่มีกระสุนจริง มีผู้เสียชีวิตเป็นปริศนา 2 ราย

คดีนี้ ป.ป.ช.ชุดเดิมชี้ว่ารัฐบาลและตำรวจผิด แม้ว่าต่อมาอัยการเห็นแย้ง สั่งไม่ฟ้อง แล้วลงเอย ป.ป.ช. ไปจ้างทนายฟ้องร้องเอง ทำให้คดียังยืดเยื้อ จนกระทั่ง ป.ป.ช.ชุดใหม่ กำลังพิจารณาทบทวนว่าควรถอนฟ้องหรือไม่

“เป็นประเด็นที่น่าคิดว่า รัฐบาล สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และตำรวจขณะนั้น ยึดถือตามมติ ครม.อานันท์ ปันยารชุน ที่กำหนดเอาไว้หลังผ่านพ้นเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 ว่าเพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือดกลางเมืองอีก ต่อไปนี้การสลายการชุมนุมต้องใช้ตำรวจปราบจลาจลและแก๊สน้ำตาเท่านั้น ซึ่งเป็นมติ ครม. ที่นำจากบทเรียนของประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก”

แต่ ป.ป.ช. ก็ชี้ว่ารัฐบาลสมชายและผู้นำตำรวจ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

“เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใดผู้หนึ่ง!!”

ทั้งที่ความเห็นของกรรมการ ป.ป.ช. รายหนึ่งในที่ประชุมชี้เอาไว้ว่า

เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 มีการชุมนุมปิดล้อมรัฐสภา เพื่อไม่ให้รัฐบาลเข้าแถลงนโยบายต่อสมาชิกรัฐสภา เพื่อไม่ให้เข้าบริหารบ้านเมืองได้

เมื่อประธานสภาขณะนั้น ยืนยันว่า การแถลงนโยบายต้องใช้สถานที่รัฐสภา หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รัฐบาลต้องสั่งการตำรวจให้ทำหน้าที่เปิดทางให้คณะรัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาเข้าประชุม

ต่อมาเมื่อการแถลงนโยบายเสร็จสิ้น ผู้ชุมนุมยิ่งปิดล้อมรัฐสภาหนัก มีการตัดน้ำตัดไฟ

ดังนั้น ตำรวจจึงต้องเปิดทางให้ผู้ร่วมประชุมและเจ้าหน้าที่รัฐสภา ออกมาได้โดยปลอดภัย รวมทั้งเพื่อป้องกันอาคารรัฐสภาอันเป็นสถานที่ราชการเอาไว้อีกด้วย

เมื่อรัฐบาลและตำรวจใช้มาตรการแก๊สน้ำตาเท่านั้น รวมทั้งมุ่งเปิดทางให้ผู้ประชุมออกไปโดยปลอดภัย มุ่งคุ้มครองชีวิตของผู้ร่วมประชุมและรักษาอาคารรัฐสภา

“จึงไม่ถือว่าเป็นปฏิบัติการที่มีเจตนาพิเศษเพื่อทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตของฝ่ายม็อบแต่อย่างใด!”

เหล่านี้เป็นประเด็นที่ ป.ป.ช.ชุดใหม่ คงต้องนำมาพิจารณา

ที่สำคัญ ประชาชนทั่วไป กำลังเฝ้ามองผลการชี้คดีนี้ เพราะจะมีผลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ในอนาคต

มาตรการตำรวจปราบจลาจลและแก๊สน้ำตา ควรได้รับการปกป้อง เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนที่จะใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองตลอดไป

อย่าให้บรรทัดฐานใช้กระสุนจริงเป็นเรื่องถูกต้อง ใช้แก๊สน้ำตาเป็นเรื่องผิดเป็นอันขาด!