ก้าวไกลยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภาฯ เน้น “เลือกตั้ง สสร. 100%” เร่งเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยทำประชามติแค่ 2 ครั้ง

ก้าวไกลยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภาฯ เน้น “เลือกตั้ง สสร. 100%” เร่งเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยทำประชามติแค่ 2 ครั้ง หวังประธานรัฐสภาบรรจุทุกร่างเข้าวาระการประชุม เพื่อให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้นโดยเร็ว
.
วันที่ 15 มีนาคม 2567 ณ ห้องแถลงข่าวรัฐสภา พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภา ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เพื่อมาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
.
พริษฐ์กล่าวว่า แม้นายกรัฐมนตรีได้เคยประกาศในคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า วาระเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล แต่ผ่านมากว่า 6 เดือน ประชาชนยังไม่ได้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าประเทศจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และภายในเมื่อใด
.
ในขณะที่คณะกรรมการศึกษาฯ ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา นำโดย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลสรุปไปเมื่อเดือนธันวาคม 2566 ว่าได้เสนอให้รัฐบาลเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการทำ “ประชามติ 3 ครั้ง” ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากการให้ ครม.มีมติให้จัดทำประชามติครั้งที่ 1 ก่อน แต่ สส.พรรคเพื่อไทย นำโดยชูศักดิ์ ศิรินิล ได้เลือกเส้นทางในการพยายามเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการทำ “ประชามติ 2 ครั้ง” ซึ่งเริ่มต้นจากการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มี สสร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเมื่อเดือนมกราคม 2567
.
พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า แม้พรรคก้าวไกลเราเข้าใจถึงเหตุผลในเชิงการเมืองที่ทำให้หลายฝ่ายมองถึงความจำเป็นในการจัดประชามติ 3 ครั้ง แต่เรายืนยันว่าตลอดว่าหากยึดตามรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ การจัดประชามติเพียง 2 ครั้ง เพียงพอแล้วในเชิงกฎหมาย ดังนั้น ในวันนี้ที่พรรครัฐบาลพร้อมจะเดินหน้าตามสูตร “ประชามติ 2 ครั้ง” พรรคก้าวไกลจึงตัดสินใจยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. ฉบับก้าวไกล ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการดังกล่าว
.
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. ฉบับก้าวไกลเป็นการเพิ่มหมวด 15/1 (การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) และแก้ไขมาตรา 256 (การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ) โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
.
1) จัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบไปด้วยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 200 คน ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
.
1.1) 100 คนแบบแบ่งเขต ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยให้สมัครเป็นรายบุคคล ประชาชนสามารถเลือกผู้สมัครได้ 1 คน และผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับเลือก
1.2) 100 คนแบบบัญชีรายชื่อ ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง โดยให้สมัครเป็นทีม ประชาชนเลือกทีมผู้สมัครได้ 1 ทีม และแต่ละทีมได้จำนวน สสร. ตามสัดส่วนคะแนนที่ได้รับ

ทั้งนี้ ระบบเลือกตั้งที่มี สสร. ทั้ง 2 ประเภทจะทำให้สภาร่างรัฐธรรมนูญมีทั้งตัวแทนเชิงพื้นที่ และตัวแทนเชิงประเด็น-กลุ่มอาชีพ-กลุ่มสังคม
.
2) กำหนดให้ สสร. มีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ ตราบใดที่ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐ ตามที่บัญญัติไว้แล้วในรัฐธรรมนูญมาตรา 255
.
3) กำหนดให้ สสร. มีกรอบเวลาไม่เกิน 360 วันในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้ สสร. มีเวลาเพียงพอในการรับฟังความเห็นอย่างรอบด้านและทำงานอย่างรอบคอบ ในขณะที่ไม่ทำให้กระบวนการมีความยืดเยื้อจนทำให้เราได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างล่าช้าจนเกินไป
.
4) กำหนดอายุขั้นต่ำของผู้สมัคร สสร. ไว้ที่ 18 ปี ซึ่งสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยสากลว่าอายุขั้นต่ำสำหรับการลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ก็ตาม มักยึดตามอายุขั้นต่ำในการมีสิทธิเลือกตั้ง
.
5) กำหนดให้ สสร. มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ประกอบไปด้วย สสร. ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมาธิการ เพื่อให้ กมธ. มีตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเป็นเสียงส่วนใหญ่ ขณะที่ยังเปิดพื้นที่ให้กับคนนอกที่ สสร. คัดเลือกและอนุมัติ เพื่อให้ กมธ. มีพื้นที่ให้กับผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์ที่อาจไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งโดยตรง
.
6) กำหนดให้มีการจัดทำประชามติหลังจากที่ สสร. จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จ เพื่อสอบถามประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564
.
7) กำหนดให้ สสร. มีอำนาจจัดทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) และส่งให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ พ.ร.ป. ฉบับใดของ สสร. รัฐสภาก็จะมีอำนาจในการรับไปทำต่อเอง ทั้งนี้ เพื่อประหยัดเวลาและป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน
.
8) กำหนดให้ สสร. สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อได้ โดยไม่ถูกกระทบจากการยุบสภาฯ หรือจากการที่สภาฯ หมดวาระ เพื่อความต่อเนื่องของ สสร. และกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
9) กำหนดให้ สสร. ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น สส. สว. รัฐมนตรี ผู้บริหาร-สมาชิกสภาท้องถิ่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ภายใน 5 ปีแรก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน
.
10) ปรับเกณฑ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (มาตรา 256) โดยกำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญกระทำได้ หาก
.
10.1) ได้รับความเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา ซึ่งประกอบไปด้วย สส. ที่มาจากการเลือกตั้ง และ สว. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และ
10.2) ได้รับความเห็นชอบเกิน 2 ใน 3 ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
10.3) เฉพาะในกรณีที่เป็นการแก้ไขเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนผ่านประชามติด้วย
.
พริษฐ์กล่าวว่า พรรคก้าวไกลทราบว่าทางประธานรัฐสภาได้ตัดสินใจไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. ที่ถูกเสนอโดย สส. พรรคเพื่อไทยเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา โดยให้เหตุผลว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 กำหนดให้ต้องมีการจัดทำประชามติก่อนเสนอร่างดังกล่าวเข้าสู่รัฐสภา ในมุมมองของพรรคก้าวไกล การกระทำดังกล่าวของประธานรัฐสภาเป็นการตีความคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญและการตัดสินใจที่เราไม่เห็นด้วย โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประธานรัฐสภาจะทบทวนการตัดสินใจดังกล่าว และบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. ของทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เนื่องจากการเสนอร่างทั้ง 2 ร่างดังกล่าวเข้าสู่รัฐสภาไม่ได้เป็นขั้นตอนหรือมีเนื้อหาสาระส่วนใดที่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ซึ่งเพียงกำหนดไว้ว่าให้มีประชามติ 1 ครั้งก่อนมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และประชามติอีก 1 ครั้งหลังมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
“ภารกิจในการฟื้นฟูประชาธิปไตยไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ หากไม่มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย โดยเราหวังว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. ฉบับก้าวไกลที่เรายื่นเข้าสู่รัฐสภาในวันนี้ จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายดังกล่าว” พริษฐ์กล่าว