‘อ๋อม สกาวใจ’ เล่าจุดผันตัวเข้าสู่สนามการเมือง บอก “พูดไม่ได้ก็ลงมาเล่นเอง” หลังวิจารณ์รัฐบาลไม่เอาไหน

‘อ๋อม สกาวใจ’ เล่าจุดผันตัวเข้าสู่สนามการเมือง บอก “พูดไม่ได้ก็ลงมาเล่นเอง” หลังวิจารณ์รัฐบาลไม่เอาไหน ถูกกล่าวหาว่าชังชาติ ลั่น ประเทศชาติไม่ใช่สนามเด็กเล่นให้คนลองผิดลองถูกไม่ได้อีกแล้ว

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 2 พฤษภาคม ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้า สยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ มติชนxเดลินิวส์ ร่วมจัดดีเบตเป็นครั้งแรกในเวที “สงคราม 9 พรรค THE LAST WAR” โดยยกทัพพรรคการเมืองชั้นนำครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งขุนพลเลือดใหม่ (Young blood) ขุนศึกตัวตึง-ตัวเก๋า และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชันนโยบายเพื่อนับถอยหลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

จากนั้น เวลา 12.30 น. เข้าสู่รอบที่ 1 เวที “ Young blood วัดอนาคต” โดยเปิดโอกาสให้ตัวแทนคนหนุ่มสาวหน้าใหม่ ที่ลงสนามเลือกตั้งเป็นครั้งแรก แต่มีความรู้ความสามารถ ประชันนโยบายของพรรคในมุมมองที่สดใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงความหวัง และการทำงาน การเมืองเชิงสร้างสรรค์ ทิศทางใหม่ๆ เพื่อการขับเคลื่อนประเทศไทยในอนาคต

โดยน.ส.สกาวใจ พูนสวัสดิ์ ผู้สมัครส.ส.กทม.เขต 13 พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จุดยืนทางการเมืองของตนคือประชาธิปไตยเต็มใบ 100% รัฐประหารคืออาชญากรรม และคนทำรัฐประหารคืออาชญากร เราควรนำคนที่ทำรัฐประหารมาดำเนินคดีไม่ว่าจะกรณีใดก็แล้วแต่ เพราะเป็นการดึงประเทศให้ถอยหลัง การเมืองที่ดีควรจะรับฟังกันแม้จะเห็นต่างกัน แต่ก็ควรพูดคุยกัน ประชาธิปไตยและรัฐสภาเป็นทางออกของผู้มีอารยะ สำหรับแรงจูงใจที่ทำให้ตนลงมาทำงานการเมืองคือปัญหาของพี่น้องประชาชน ตนก็เป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่งที่มองเห็นปัญหาและตรรกะที่บิดเบี้ยวมาตลอด 8-9 ปี สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานคือสิ่งที่ถูกริดรอนไป ประชาชนเห็นต่างจากรัฐบาลถูกยัดเยียดคำว่าชังชาติ ซึ่งตนก็โดนยัดเยียดคำนี้เช่นกัน เพียงเพราะออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่ไม่เอาไหน ทำงานไม่ได้ ล้มเหลว นี่หรือชังชาติ เราแค่อยากส่งต่ออนาคตที่ดีให้ลูกหลานของเรา แต่เราเกลียดรัฐบาลที่กำลังบริหารอยู่ รัฐบาลที่พูดนโยบายแล้วทำไม่ได้ เราจะทนให้ประชาชนทนดูการบริหารของรัฐบาลที่ไม่มีทิศทาง เอางบประมาณไม่ตรงจุดหรือ เมื่อพูดไม่ได้ ตนจึงตัดสินใจลงมาทำงานการเมือง

น.ส.สกาวใจ กล่าวต่อว่า หากเราได้เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ตนจะผลักดันทุกนโยบายของพรรค พท. สิ่งที่ตนอยากผลักดันมากที่สุดคือเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียม ซึ่งหมายถึงความเท่าเทียมในการบังคับใช้กฎหมายด้วย ตนอยากเห็นประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบคนไทย เพราะชื่อก็บอกแล้วว่าไม่สากล เราอยากเห็นประชาธิปไตยที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิ ใช้เสียง และสามารถวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลได้โดยไม่ถูกดำเนินคดี การบริหารประเทศชาติที่เป็นองค์กรมีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงต่างๆ หลากหลายหน่วยงาน เราจึงจำเป็นที่จะต้องให้คนที่ประสบการณ์บริหารองค์กรใหญ่ๆ และประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรนั้นๆ มาเพื่อนำความรู้ ความสามารถ ความเท่าเทียม และการผลักดันเทคโนโลยี แนวคิดความก้าวหน้า ที่สำคัญคือต้องเข้าใจสิทธิความเสมอภาคมาบริหารประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะประเทศไทยของเราไม่ใช่สนามเด็กเล็ก ประเทศไทยไม่ต้องการคนที่เข้ามาลองผิดลองถูกในการบริหารประเทศอีกแล้ว เราต้องการคนที่มีประสบการณ์และประสบความสำเร็จจริง

“แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยทุกคน เหมาะสมที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ ฝากพี่น้องเลือกเพื่อไทยทั้งคนและพรรค เปลี่ยนแปลงประเทศไปด้วยกัน เพราะเพื่อไทยคิดใหญ่ทำเป็นเพื่อพี่น้องทุกคน” น.ส.สกาวใจ กล่าว