‘สมคิด’ ลั่นไม่ใช่เทวดา รวมคนเก่ง-คนดี เข้าเป็นรัฐบาลจัดสรรงบใหม่

สมคิด ไม่ใช่เทวดา รวมคนเก่ง-คนดี มากคน-มากวาสนา เข้าไปเป็นรัฐบาลจัดสรรงบประมาณใหม่ กระจายเม็ดเงินลงจังหวัดแสนล้าน ชี้ เลือกตั้งครั้งหน้าตัดสินกันที่ใครทำได้ ไม่มีเวลาฝึกงาน-หัดขับรถ แนะ ประยุทธ์ ตั้งทีมไทยแลนด์ ปูพรมแก้จนทุกหมู่บ้าน ปูด ซื้อ ส.ส.หัวละ 50 ล้านเข้าคอก ลั่น สร้างกระแสสึนามิกวาดล้างสิ่งโสมมยกจังหวัดภาคใต้ ปลุก โหวตเพื่อการเปลี่ยนแปลง 

 

วันที่ 12 ตุลาคม 2565 ที่โรงแรมศิวา รอยัล จังหวัดพัทลุง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “สร้างอนาคตไทย สร้างอนาคตพัทลุง” พร้อมทั้งเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดพัทลุง 3 เขต ว่า 2 -3 เดือนนี้ ตนมาภาคใต้หลายครั้ง ครั้งแรกหาดใหญ่ ได้รับเชิญจากนักธุรกิจที่นั่นให้ไปพูด เรื่องสถานการณ์หาดใหญ่ ครั้งที่สอง ภูเก็ต ไปพูดเรื่องอันดามันรอด ไทยรุ่ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม

“ผมคิดว่า ผมคิดไม่ผิดเลย ที่กลับมาสู่การเมืองครั้งนี้ แปลกมากจริง ๆ ถ้าบ้านเมืองไม่มีวิกฤต ผมไม่เคยได้กลับมา แต่เมื่อไรก็ตามมีวิกฤตเกิดขึ้น มักจะมีชื่อสมคิดโผล่ขึ้นมาเสมอ ครั้งแรก วิกฤตต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจแทบจะล่มสลาย โดยเฉพาะผู้มีอันจะกิน มหาเศรษฐีทั้งหลายที่ยืนเรียงแถวอยู่ขณะนี้ ร้อยละ 90 เป็น หนี้เสีย (NPL) ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งนั้น ผมจำหน้าได้แต่ละคนในยุคนั้น”นายสมคิดกล่าว

การเมืองดี ชาติเจริญ

นายสมคิดกล่าว่า ตนทำงานอยู่ขณะนั้น 6 ปี เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสสัมผัสการเมือง ตนมีอาชีพเดิมเป็นอาจารย์ มีคนสัมภาษณ์ตนว่า เข้าสู่การเมืองเพื่ออะไร ตนบอกเขาว่า จะเป็นตัวอย่างให้คนรุ่นใหม่กล้าเข้าสู่การเมือง เพราะการเมืองเป็นหน้าที่ของทุกคน การเมืองไม่ใช่แค่หย่อนบัตรเลือกตั้ง แต่การเมืองนั้นเป็นหน้าที่ของพลเมืองทุกคน

“ผมแสดงให้เห็นว่า มีอาชีพเป็นอาจารย์ มีรายได้ในภาคเอกชนในฐานะที่ปรึกษา ชีวิตสุขสบาย แต่ผมก็ยินดีที่จะสละให้เห็นว่า คนที่เข้าสู่การเมืองนั้น ถ้าพร้อมมากก็เข้ามา พร้อมน้อยก็ช่วยอยู่ข้างหลัง แต่ทุกคนต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะถ้าการเมืองดี ชาติจะเจริญ การเมืองเลวเมื่อไร สับสนวุ่นวายเมื่อไร ซื้อเสียงกันเละเทะเมื่อไร บ้านเมืองก็เป็นอย่างที่เห็น”นายสมคิดกล่าว

นายสมคิดกล่าวว่า ครั้งที่สอง ตนได้รับเชิญจากผู้บริหารในขณะนั้น ว่า บ้านเมืองขณะนั้นมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เพราะมีการรัฐประหาร ชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น แอนตี้เราทั้งนั้น ไม่สามารถมีการแลกเปลี่ยนระดับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ทำได้แค่ภาคเอกชน ฉะนั้นทำให้การค้าการขาย เศรษฐกิจทั้งหลายความเชื่อมั่นในขณะนั้นหายไป

“ผมจำได้ขณะนั้น ผมเป็นคนเอาจดหมายของผู้นำขณะนั้นไปที่ประเทศจีน ไปยื่นผ่านรองประธานาธิบดีเพื่อให้กับประธานาธิบดี ให้เขายืนยันว่า ยังซับพอร์ตประเทศ เพราะเมืองจีนคือเสาหลักที่แท้จริงในขณะนั้น ไม่เคยมีชาติไหนช่วยเราเลยหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ตอนที่เราแทบจะล้มละลาย ถูกบีบทุกคนจนหน้าเขียว เป็นข้อเท็จจริงว่า เข้ามาช่วยเพราะอะไร”นายสมคิดกล่าว

สร้างกระแสสึนามิกวาดล้างสิ่งโสมม 

นายสมคิดกล่าวว่า ตนอยู่ที่นั่น 6 ปี การเข้าสู่การเมืองทั้งสองครั้งนั้น ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไปช่วยแก้ไขวิกฤตในบ้านเมืองแทบทั้งสิ้น ท่านรู้ไหมว่าการเป็นรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี มีเงินเดือนเท่าไร แสนเดียว 10 กว่าปีที่ผ่านมาไม่มีการขึ้นเงินเดือนเลย เวลาตนตั้ง ดีดีการบินไทย ตั้งกรรมการผู้จัดการกรุงไทย ตั้งกรรมการผู้จัดการเอ็กซ์ซิมแบงก์ ตั้งหมดทุกคน เงินเดือนล้านกว่าบาททั้งนั้น แต่คนตั้งแสนเดียว สองรอบ 10 กว่าปี ถ้าคุณไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่บ้าน ถ้าคุณไม่ตั้งใจทำการเมือง คุณทำไม่ได้ หลายสิ่งหลายอย่างต้องเปลี่ยนแปลง ด้วยความต้องการอย่างเดียว คือ ให้คนรุ่นใหม่เข้ามา

“เราไม่ได้มองแต่พัทลุง ผมตั้งใจว่า ถ้าผมมีเวลา ผมจะลงไปทุก ๆ จังหวัดในภาตใต้เลย เพื่อสร้างกระแสสึนามิขึ้นมาให้ได้ เป็นสึนามิที่จะกวาดล้างสิ่งโสมมทั้งหมด เพราะอะไร คุณดูภาคใต้ด้ามขวานทั้งด้าม ขาดอะไรบ้าง คุณมีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ สิ่งแวดล้อมที่ดีงาม แหล่งท่องเที่ยวมหาศาล ทั้งอ่าวไทย ทั้งอันดามัน มีภาคการเกษตรที่ปลูกได้ทุกชนิด และยังมีภาคอุตสาหกรรมแปรรูปให้คุณภาพเพิ่มสูงขึ้นได้ ผมตั้งคำถามอยู่ในใจว่า แล้วทำไม ๆ หลาย 10 ปีที่มีการเลือกตั้งมา มีผู้แทนฯ มานี่แหละ ภาคเศรษฐกิจของภาคใต้ถึงยังเล็กอยู่ ไม่ใช่เล็กอย่างเดียว หดตัวลงเสียด้วยซ้ำ”นายสมคิดกล่าวและว่า

“ตัวเลขแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 ภาคใต้อยู่ประมาณร้อยละ 8 ของทั้งประเทศ พอมาปี 62 ไม่ถึงร้อยละ 8 เป็นไปได้อย่างไร การเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งหมดกระจุกตัวอยู่ที่ 4 จังหวัดเอง รวมกันแล้ว 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ สุราษฎร์ นครฯ ภูเก็ต อีกจังหวัดแถว ๆ นี้ หาดใหญ่ตามมาแทบจะลำบาก สงขลาตอนแรกเป็นจังหวัดที่ฟู่ฟ่ามาก แต่ช่วงหลังหาดใหญ่แทบจะเป็นเมืองร้าง”

สมคิด ไม่ใช่เทวดา รวมคนเก่ง-คนดี 

นายสมคิดกล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม หดตัวลง ภาคบริการ ภาคท่องเที่ยว เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 60 เปอร์เซ็นต์ ทั้ง 3 ภาค สัมพันธ์และเกี่ยวข้องกันทั้งนั้น จะให้ภาคใดภาคหนึ่งหดหายไปไม่ได้ ภาคเกษตรคือหัวใจ เกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ภาคเกษตร อุตสาหกรรมต่อยอดให้สูงขึ้น ภาคท่องเที่ยวซึมลึกในระดับรากหญ้าทุกตัวคน หน้าที่ของผู้บริหารของประเทศ ที่จะดูแลภาคใต้จะต้องประคองให้สมดุลของทั้ง 3 ภาค

“ทีมที่ผมจะใช้ไม่ใช่มีแค่นี้ นายสมคิด ไม่ใช่เทวดามาจากไหน แต่นายสมคิดเป็นคนที่ใจเปิด มากคนมากวาสนา เราดูว่าคนเก่งคนดีอยู่ที่ไหน เรียกตัวมาใช้ ช่วยกันบริหารประเทศ คนโกงออกไป คนดีเข้ามา ประเทศถึงจะเจริญ ไม่ใช่คนโกงเข้ามา ขอให้รัฐบาลอยู่ได้ คนดีออกไป ใช้ไม่ได้ พรรคไหนที่ไล่คนทำงานออก ไม่เก็บคนดีเอาไว้ ถ้ามาพัทลุง มาภาคใต้ อย่าให้ได้เกิด”นายสมคิดกล่าว

นายสมคิดเล่าย้อนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 2 ว่า วันหนึ่งตนมาชุมพร มีข้อความเข้ามา คนที่มียศตำแหน่งมากกว่าผม (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี) ลำบากใจมากที่จะต้องปรับครม. วันนั้นตนไม่รอให้ท่านพูดต่อ ตนโทรศัพท์กลับไป ตนว่าท่านครับ ไม่ต้องลำบากใจแล้ว พวกตนมีหน้าที่ให้รัฐบาลอยู่ได้ ถ้าวันนี้คนที่ทำงานอุทิศตนให้บ้านเมือง ไม่ได้รับการดูแล พรุ่งนี้เช้าตนจะให้เขาลาออกทันที วันนั้นตนโทรไปหานายอุตตม (สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย รมว.คลังในขณะนั้น) ให้วันรุ่งขึ้นให้ออกเลย 4 คน (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย รมว.พลังงานในขณะนั้น นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.อว. และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) เพราะทั้ง 4 คนนี้ไม่มีฐานการเมือง มาในฐานผู้นำประเทศ มาทำงานให้บ้านเมือง พวกเขารู้ว่าทำอะไรอยู่ ไม่เห็นค่าเลย อยู่ ๆ บอกจะมาเป็นรัฐมนตรีก็ทำ บ้านเมืองอยู่ได้อย่างไร

“ผมมองดูแล้วว่า ภาคใต้ ถ้าไม่มีการบริหารจัดการที่ดี ถ้าเลือกแต่คนเดิม ๆ ไม่เปลี่ยนชุดความคิด คุณก็จะได้สิ่งเดิม ๆ และจะแย่ลงด้วย ผมไม่ได้ว่าใครเลย คราวที่แล้วสะกิดนิดเดียว ทนกันไม่ไหวเลย ออกมาบอกว่า นายสมคิดนักการตลาดลวงโลก แล้วอย่างนี้ ใจเล็กแค่นี้จะไปบริหารประเทศได้อย่างไร”

นายสมคิดกล่าวว่า ทุกจังหวัดที่ตนไป ไม่ได้ไปหาเสียง ตนไปพูดให้ประชาชนฟัง พูดให้ชาวบ้านฟัง คุยให้นักการเมืองท้องถิ่นฟัง ครูบาอาจารย์ฟัง ว่าแนวคิดในการพัฒนา มันควรจะทำอย่างไร เพราะเราอยู่มา 10 กว่าปี ทำไมจะไม่รู้ หลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าคุณไม่ใช่นายกรัฐมนตรี เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะมีแรงเหนืด แรงดึง เต็มไปหมด กฎหมายกี่ร้อย กี่พันฉบับ ไม่เคยสังคยานา ฉะนั้นถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ เปลี่ยนการเมืองให้ได้

เชื่อมรถไฟความเร็วสูงเหนือจดใต้

นายสมคิดกล่าวว่า เกษตรกรรมเป็นสิ่งที่ดี อุตสาหกรรมก็ดี ท่องเที่ยวยิ่งเด่น เราต้องรักษา 3 สิ่งนี้เอาไว้ ให้คนรุ่นหลังได้ต่อยอด การเปลี่ยนแปลงประเทศ การบริหารจัดการสำคัญที่สุด ทำไมภาคใต้ถึงไม่รวยซะที ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เปลี่ยนแปลงได้ ท่านลองหลับตาตามผม 3 ตัวนี้  ท่องเที่ยว เกษตร อุตสาหกรรม เป็นสามเหลี่ยมยุทธศาสตร์ ทำอย่างไรให้การท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืน ถ้าเอานักท่องเที่ยวจากภูเก็ต 15-17 ล้านคนต่อปี กระจายไปทุกส่วนในภาคใต้ หรือ อย่างน้อยมาให้ได้ถึงพัทลุง ชาวบ้านชาวช่องจะมีรายได้เพิ่มขนาดไหน อุตสาหกรรมจะมีตลาดป้อนเข้ามาทันที ถ้าท่องเที่ยวไม่เข้าไปในชุมชนก็ต้องเอาชุมชนมาหาเขา เป็นรอยเชื่อมต่อที่ขาดตอนไม่ได้

นายสมคิดกล่าวว่า การเกษตรทำไมต้องปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทั้งที่ที่ดินสามารถปลูกผลไม้ได้ทุกชนิด จะทำอย่างไรให้ปลูกพืชที่หลากหลาย ทำอย่างไรที่จะยกระดับเกษตรกรให้แข็งแรง ใช้เทคโนโลยี สมาร์ทฟาร์มเมอร์ ทำเกษตรให้เป็นเชิงพาณิชย์ เป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่นโยบายใหม่ เป็นนโยบายที่ปักหลักอยู่ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มากว่า 10 ปีแล้ว มีอยู่ แต่คนบริหารไม่สนใจ ยังไงก็ไม่สนใจ และอุตสาหกรรม ยางพาราเต็มไปหมด แต่เห็นชาวสวนยางไปขายได้กี่ตังค์ ต้องมีการลงทุน

“เป็นสามเหลี่ยมเชิงยุทธศาสตร์ ถ้าทำได้ สงขลามีนิคมอุตสาหกรรม ในแผนของสภาพัฒน์ มีเซาท์เทิร์นอีโคโนมิกคอริดอร์ เขตระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ อยู่ที่สุราษฏร์ นครฯ เชื่อมชุมพรกับระนอง ฉะนั้นสินค้าเกษตรทั้งหมด สามารถแปรรูปให้มีมูลค่ามากขึ้นได้ สิ่งสำคัญ คือ เราต้องการเส้นรถไฟเหนือจดใต้ ไปปาดังเบซาต่อไปถึงระนอง มีอยู่ในแผนของสภาพัฒน์ อยู่ที่ว่า ถ้ารัฐบาลไม่เอาจริง ปล่อยให้รัฐมนตรีแต่ละคน ปัดไปก็ไปมา ใครคิดว่าตรงไหมเหมาะกว่า ก็ไม่เดิน”นายสมคิดกล่าวและว่า

“มีรถไฟถึงปาดังเบซา เชื่อมกับมาเลเซีย สงขลาจะไม่เป็นแบบนี้ สามารถได้นักท่องเที่ยวจีนจากเหนือลงมาถึงปาดังเบซา ถึงสงขลา ถึงทุกจุด แต่ทุกวันนี้ รถไฟไทยจีนยังไปไม่ถึงโคราชเลย ทำอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ เมืองไทยมีทุกอย่าง แต่ไม่เดินสักอย่าง เพราะอะไร จะปล่อยให้เป็นแบบนี้อีกหรือ”

นายสมคิดกล่าวว่า พัทลุง ชาวพัทลุงรู้หรือไม่ว่า จีดีพีต่อปีอยู่อันดับที่ 59 จาก 77 จังหวัด จีดีพีต่อหัวประชาชนอยูอันดับที่ 61 เกือบโหล่ มีจังหวัดเดียวของภาคใต้ที่โหล่กว่าพัทลุง คือ นราธิวาส หรือ ปัตตานี คนตัวเล็ก จังหวัดเล็ก ๆ ถ้าขืนมองคนเดียว ทำคนเดียวก็ลำบาก เพราะยิ่งเล็ก งบจังหวัดก็ยิ่งน้อย งบประมาณแผ่นดินส่วนใหญ่อยู่ที่กระทรวง สมัยที่ทำเป็นกลุ่มจังหวัดเป็นหมื่นล้าน เอาอำนาจจากมหาดไทยและงบประมาณมาให้กลุ่มจังหวัดบริหารกันเอง กระทรวงอย่างเช่น มหาดไทย คมนาคม จะรู้ได้อย่างไรว่าท้องถิ่นต้องการอะไร มองไม่เห็นไม่ว่า แต่เอาพัทลุงไปร่วมกลุ่มจังหวัดอย่างซี้ซั้ว

“ถ้ามองภาพให้ครบ จะรู้ว่าจะพัฒนาจังหวัดพัทลุงอย่างไร ผมอ่านหนังสือจีนเยอะ พันธมิตรแนวนอนมีใคร มีตั้งแต่ตรัง พัทลุง สงขลา ดีไม่ดีไปถึงกระบี่ กลุ่มจังหวัดเหล่านี้สามารถร่วมมือกันได้หรือไม่ ได้แน่นอน พันธมิตรแนวดิ่ง สามารถดึงจากนครศรีธรรมราช ผ่านพัทลุง ลงไปสตูล นึกภาพดูจากตรังขับรถมาพัทลุง ชั่วโมงเดียว จากหาดใหญ่มาพัทลุง ชั่วโมงเศษ ๆ จากนครฯ มีที่นี่ ชั่วโมงครึ่ง อย่างเก่ง 2 ชั่วโมง หลับตาต่อไปว่า เวลานักท่องเที่ยวมาที่ตรัง มีสนามบิน มีสนามบินที่หาดใหญ่ ทำไมไม่สามารถดึงนักท่องเที่ยวให้แค่ขับรถมาชั่วโมงเดียว มาเที่ยวที่พัทลุงได้”นายสมคิดกล่าว

นายสมคิดกล่าวว่า 2 ปีมานี้ พัทลุงการท่องเที่ยวโตขึ้นทวีคูณ เพราะเราเห็น ตนบอกนโยบายท่องเที่ยวเมืองรอง พยายามบีบบังคับนักท่องเที่ยวที่มาทางใต้มาเมืองรอง คนที่ไปเชียงใหม่ให้ไปลำพูน ลำปาง ภูเก็ตนักท่องเที่ยวปีหนึ่ง 15-17 ล้านคน กระบี่ก็ไม่น้อย ทำไมไม่ดิ้นรนหาทางดึงเข้ามา จะดึงด้วยวิธีการเอาการท่องเที่ยวและภาคธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวทั้งหมดวางแผนร่วมกัน

“ผมเห็นในเว็บไซต์เที่ยว 5 วัน ตรัง พัทลุง สตูล คือ ทางที่ถูกต้อง รู้ไหมว่ากล้ามของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขนาดไหน เพียงแต่เอ่ยปากให้ร่วมมือกันให้ทุกเที่ยวมาถึงที่นี่ จะยากเย็นอะไร ขายเป็นกลุ่มจังหวัด คนจะมาหาท่าน เมื่อคนมาเที่ยวที่นี่มากขึ้น เกษตรกรรมก็สามารถปลูกผักผลไม้ต่าง ๆ มาป้อนนักท่องเที่ยวได้ ที่เหลือ ส่งในภาคอุตสาหกรรม แปรรูปมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน มาค้า มาขาย ถามว่า ทำไม่ได้หรือ มีอะไรยากเย็นนักหรือ แต่ถ้าคุณไม่คิดมันเลย แยกส่วน ต่างคนต่างอยู่ สตูลก็จน พัทลุงก็จน ทุกคนจนหมด จะไปรวยอยู่ที่ภูเก็ต สมุย และกระบี่เท่านั้นเองถ้ามีรถไฟความเห็นสูงเหนือจดใต้ สินค้าจากพัทลุง จากสตูล จากตรัง ไปขายเชียงใหม่ได้ในเวลาวันเดียว”นายสมคิดกล่าว

นายสมคิดกล่าวว่า นี่คือการบริหารจัดการภาคใต้ทั้งภาค แยกส่วนไม่ได้ ซีกบนมีเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ลงมามีอันดามัน ถ้าไม่ร้อยไข่มุก 3 จังหวัดอันดามัน อีกภูเก็ตจะไม่มีความหมาย ถ้าร้อยได้ พังงา ภูเก็ต กระบี่ พลังมหาศาล ผมเสนอไปแล้วให้เอารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 จังหวัด และแนะนำให้ร้อยไข่มุกอีกหนึ่งเส้น คือ พัทลุง ตรัง สตูล แล้วไปดูที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ถ้าทำอย่างนี้ได้ เชื่อมโยงด้วยเส้นทางคมนาคม รถไฟ รถไฟรางคู่ ทั้งฝั่งอ่าวไทย ทั้งลงไปอันดามัน จีดีพีจะไม่อยู่แค่นี้ จะไม่มีทางจนแบบนี้หรอก อยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ถ้าการเมืองไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าบริหารโดยผู้ว่าฯคนเดียว ไม่สามารถเปลี่ยนได้ด้วยงบจังหวัด 200 กว่าล้านบาท

เข้ามาเป็นรัฐบาล จัดสรรงบประมาณใหม่ 

“ถ้าพรรคสร้างอนาคตไทยเข้าไปในการเมืองอีกครั้งหนึ่งได้ เราจะกระจายอำนาจของมหาดไทยเป็นจุดแรกเลย งบมากลุ่มจังหวัดต้องเป็นหลักหมื่นหรือแสนล้าน ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่ในมหาดไทยอย่างเดียว กลุ่มจังหวัดหนึ่งมาสักหมื่นล้าน สองหมื่นล้าน 10 กลุ่มจังหวัดจะสักแค่ไหนกันเชียว แค่รถถังกับเรือดำน้ำก็เทียบกันไม่ได้แล้ว การกระจายอำนาจ เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการและการบริหาร เป็นสิ่งจำเป็น เลือกแค่คนสองคน ไม่มีพลัง สู้ไม่ไหว ไม้ซีกงัดไม้ซุงไม่ไหว แต่ถ้าหากเป็นคลื่นสึนามิ กวาดภาคใต้มาให้ได้มากที่สุด ดูซิว่าภาคใต้จะเจริญกว่านี้ไหม”นายสมคิดกล่าวและว่า

“การเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ได้วัดกันที่นโยบาย ขณะนี้ลำบากมาก ๆ ไม่มีเวลาหัดขับรถ เลือกตั้งครั้งนี้ เมื่อคนเงินในกระเป๋าไม่มี เลี้ยงดูครอบครัวไม่ได้ มันจะตัดสินใจกันด้วย ใครทำเป็น ใครทำไม่เป็น แล้วจะตัดสินกันด้วย ประชาชนเชื่อว่าใครทำได้   ใครทำไม่ได้ ผมไม่ได้บอกว่า เราทำเป็นทำเก่งทุกคน แต่เราทำมาแล้ว เราเห็นปัญหาทุกจุดว่ามันอยู่ตรงไหน ต้องแก้ไขอะไร กฎหมายอะไรที่ต้องแก้ ไม่ต้องฝึกงาน เข้าไปทำได้เลย”

นายสมคิดกล่าวว่า ตนไม่คิดว่าใครเป็นคู่แข่ง วันนี้ปัญหาคนจน จริง ๆ ตนเคยคุยกับท่านนายกฯประยุทธ์ ประเทศจีนมีทีมแก้จน ลงไปสำรวจว่าหมู่บ้านนี้ คนจนกี่ร้อยคน สัมภาษณ์เลย จนเพราะอะไร และใช้คนในหมู่บ้านโหวตกันว่าใครควรจะช่วย แล้วรัฐบาลก็มาดูว่าจะช่วยอะไรบ้าง เป็นจุดๆ ในพัทลุงมีกลุ่มคนจนเป็นหลักพัน ทำให้สัดส่วนคนจนในพัทลุงต่อยอดประชากรพัทลุงสูงที่สุดในประเทศ

“ถ้าตั้งทีมประเทศไทย เอาผู้ว่าฯ เป็นหัวหน้า อย่าเดินตามแต่รัฐมนตรี ตั้งทีม มีนักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการประจำ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา แยกกันลงทั้งหมู่บ้าน แล้วเอาเงินจากกองทุนสร้างอนาคตไทยมาช่วยเขา จะกี่ตังค์เท่านั้นเอง ทุกอย่างอยู่ที่ผู้นำ ถ้ารัฐบาลเอาจริง ข้าราชการก็เอาจริง นี่หร่อม ๆ แหร๋ม ๆ ผักชีโรยหน้าทั้งประเทศ”นายสมคิดกล่าว

ยากจน-ยาเสพติด-คอรัปชั่น มะเร็งร้าย 

นายสมคิดกล่าวว่า ปัญหาความยากจนเป็นรากเหง้าของปัญหาทุกอย่าง เมื่อครอบครัวจน บ้านก็แตก ลูกก็ต้องทำงานนอกบ้านที่อื่น ครอบครัวแตกสลาย เงินไม่พอใช้ ตกงานก็ต้องเดินไปค้ายาเสพติด ยาเสพติดมาคู่กับความยากจน วันนี้ยาเสพติดกระจายไปทั่วประเทศ ขนาดชาวบ้านยังรู้ว่า เม็ดละ 7 บาทและชาวบ้านไม่รู้เหรอ คนจนตกงานไม่มีทางเลือก ถ้าความจนกับยาเสพติดมาด้วยกัน ก็จะมาพร้อมกับคอรัปชั่น เงินยาเสพติดมหาศาลมาก เลื้อยไปทุกองค์กร ง้างได้หมด จับไม่ได้ ได้แต่ย้าย พอคนลืมก็กลับมาใหม่

“พอมีโศกนาฎกรรมเกิดขึ้น ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบอกว่าต้องประกาศสงครามกับยาเสพติด ผมจะบอกว่า สมัยผมอยู่ไทยรักไทย เราประกาศ 3 สงคราม มา 10 กว่าปี เกือบ 20 ปีแล้ว สงครามความยากจน สงครามยาเสพติด สงครามคอรัปชั่น ผ่านมาเกือบ 20 ปีเป็นยังไง เราแพ้สงคราม วันนี้คนจนมีมากขึ้น ยาเสพติดเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วยังทดลองให้สูบกัญชีอีกหรือ คอรัปชั่น เจ้าหน้าที่ไม่รู้เหรอ ผักชีมันเยอะจริง ๆ ประเทศนี้ รัฐบาลไม่ได้ส่งเสริมให้ปลูกผักชีนะ ผักชีเต็มบ้านเต็มเมือง”นายสมคิดกล่าว

นายสมคิดกล่าวว่า 3 เรื่องนี้ ไม่ธรรมดา สมัยวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง แต่ 3 เรื่องนี้เป็นมะเร็ง มะเร็งของประเทศ ที่คอยฉุดรั้งประเทศไม่ให้ขยับไปไหน ผมบอกกับลูกทีมว่า ไตรมาสที่แล้ว เวียดนามเติบโตถึง 13 % ประเทศไทยไม่เกิน 2 % ภายใน 5 ปีจะแซงหน้าเราไปแน่นอน ทำใจไหวหรือ คนไทยปล่อยให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร

“วันนี้การเมืองซื้อกันเป็นว่าเล่น ถ้าเขาแจกเงิน รับไป ไปกินกาแฟได้เดือนหนึ่ง ถ้าเขาให้ 500 หารแล้วใช้ 4 ปี คุณได้ 34 สตางค์ ถ้าเขาให้ 1000 คุณได้ 68 สตางค์ แก้จนหรือไม่ ตอนนี้จีดีพีเรา 16 ล้านล้าน ถ้ามีรัฐบาลที่ดี ผู้บริหารที่ดี สามารถทำให้จีดีพีโตขึ้นมากว่า 20 ล้านล้านภายใน 5 ปี ได้ได้เลย แต่ถ้าไม่มีรัฐบาลที่ดี การเมืองที่ดี จะค่อย ๆ หดตัวลง บางปีโชคดีก็ขยายขึ้นไปนิดหน่อย ไต่ระดับเตี้ย ๆ อยู่อย่างนี้แหละ ไม่ได้ไปไหนเลย วิธีการก็คือ เขาให้ เรารับ แต่เวลาเราโหวต นั่นคืออาวุธของเรา โหวตเพื่อการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทย พิสูจน์ให้เห็นว่า คนใต้ เงินซื้อไม่ได้ แล้วคนใต้ พลาดแล้วต้องรัจักจำ รู้จักเปลี่ยนแปลง”นายสมคิดกล่าว

กระทุ้งผู้ว่าแบงก์ชาติ บริหารอำนาจ  

นายสมคิดกล่าวว่า รัฐบาลที่เข้มแข็งเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับปีข้างหน้า สัญญาณเตือนภัยจากโลกมาแล้ว ไม่เกินกลางปี เห็นหมู่เห็นจ่าแน่นั้น เพราะอเมริกาตอนนี้ขึ้นดอกเบี้ยเป็นว่าเล่น ขึ้นดอกเบี้ยเพราะป้องกันเงินเฟ้อของแพง วันนี้ 3.25 % เรายังไม่ถึง 1 % เมื่อเราไม่ถึง 1 % จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าประเทศเราไม่เข้มแข็งพอ เงินมันจะพร่อง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ตนแนะนำรัฐบาล ถ้าเขาขึ้นดอกเบี้ย เราต้องประเมินให้ได้ว่า เราจะขึ้นได้อีกเท่าไหร่ อย่าไปคิดว่า เราสามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ญี่ปุ่นแทรกแซงไปได้ 2 วัน หมดไปเป็นว่าเล่นเลย เราต้องดูว่า ขึ้นได้เท่าไรแล้วค่อย ๆ ขึ้น เพราะคนจนไม่ได้สินเชื่อ มีแต่รายใหญ่ที่กู้แบงก์อยู่ในขณะนี้ และเวลารายใหญ่กู้มาจากแบงก์ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ดอกเบี้ย

“ปัญหาอยู่ที่ความเชื่อมั่นว่าประเทศนี้ยังไปไหวหรือไม่ ถ้าเขาไม่เชื่อมั่น ดอกเบี้ยต่ำเตี้ยแค่เปอร์เซ็นต์เดียว เขายังไม่ลงทุนเลย ไปเวียดนามหมด ฉะนั้น ถ้าคุณจะขึ้นก็ขึ้นไป เท่าที่คิดว่าจำเป็น แต่ผู้ว่าแบงก์ชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ต้อง exercise อำนาจของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ เรียกนายแบงก์มาคุย จำได้ไหม ผู้ว่าแบงก์ชาติในอดีตเวลาจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เรียกนายแบงก์มา ผมจะทำอย่างนี้ ขอความร่วมมือ ไม่ใช่ไม่มีความร่วมมือ ขึ้นยังไม่ทันไรเลย ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ก่อนแล้ว อย่างนี้ใช้ไม่ได้”นายสมคิดกล่าวและว่า

“ผมแนะนำว่า เชิญพวกนี้เข้ามา บอกว่า คุณจะขึ้นดอกเบี้ย ขึ้นได้นะ แต่ว่าต้องมีขอบเขต และสินเชื่อที่ปล่อยต้องหาทางคลายให้เอสเอ็มอีคนตัวเล็ก ได้ตรงนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนั้น อำนาจแบงก์ชาติมหาศาล แสดงอำนาจออกมาเลย อย่าไปกลัว ใครหมู่ใครจ่า ยังไม่มีบารมี ฟันทีเดียว บารมีเกิดเลย เขาบอกว่าศาลเจ้า ถ้าไม่มีอิทธิฤทธิ์ มันไม่เฮี้ยน ฉะนั้น ถ้าจะขึ้นดอกเบี้ย จำตรงนี้ไว้เลย เรียกนายแบงก์มา แล้วขอควาร่วมมือ ดอกเบี้ยเงินกู้สถานการณ์บ้านเมืองไม่ดี ขึ้นช้าหน่อย ปีที่แล้วกำไรเป็นแสน ๆ ล้าน ดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นเสียหน่อย ชาวบ้านจะได้มีเงินออม”

นายสมคิดกล่าวว่า ตนให้กำลังใจผู้ว่าแบงก์ชาติเต็มที่ ถ้าต้องขึ้นก็ต้องขึ้น แต่หาทางป้องกันไว้ก่อน รัฐบาล ผมให้กำลังใจคนทำงาน ให้กำลังใจนายกฯ ถ้า IMF มันเตือนแล้วนะ ว่าปีหน้าเศรษฐกิจถดถอย ต้องเตรียมทรัพยากร เพราะคนตัวเล็กเจอก่อน คนจนเจอก่อน เกษตรกรเจอก่อน เอสเอ็มอีเจอก่อนแน่นอน ท่านจะเอาเงินที่ไหนมาหล่อเลี้ยงเขา เรียกธนาคารออมสิน เอสเอ็มอีแบงก์ แบงก์ชาติมา อย่ามัวแต่จับผิด NPL ของแบงก์เฉพาะกิจ แบงก์เฉพาะกิจจัดตั้งมาเพื่อดูแลคนตัวเล็ก ไม่ใช่ให้เป็นธนาคารพาณิชย์ การไปช่วยคนตัวเล็ก แน่นอนต้องขาดทุน ถ้าเขาขาดทุน แทนที่จะเอาเงินไปซื้อเรือดำน้ำ เพิ่มทุนให้แบงก์เฉพาะกิจ เพิ่มให้หมื่นล้าน สามารถไปปล่อยให้คนตัวเล็กได้เป็นแสนล้าน แบงก์ชาติต้องดูว่ากฎเกณฑ์ตรงไหนที่ยังตายตัว แก้กฎหมาย แก้กฎระเบียบ ถ้าไม่คิดนอกกรอบ ปีหน้าคนจนตาย

“การจัดสรรงบประมาณใหม่จำเป็นอย่างยิ่ง เตรียมเงินไว้ 2-3 แสนล้าน แบงก์พาณิชย์ทั้งหลายต้องมาร่วมมือ แบงก์เฉพาะกิจต้องเตรียมเงิน สำคัญที่สุด เรารู้ว่ารัฐต้องกู้เงิน อย่าเอาเงินกู้เหล่านั้นไปลงโครงการใหญ่ เอามาลงรากหญ้า ถึงหมู่บ้าน ถึงตำบล เงินนั้นจะสะพัด ให้ชาวบ้านตัดสินใจเองว่า จะทำอะไร อย่าไปคิดเสียดาย เพราะว่าเงินที่ลงไปสร้างการหมุนเวียนในท้องถิ่นได้ ทำให้มีสภาพคล่องหมุนเวียนอยู่ ไม่อดตาย”นายสมคิดกล่าว

ปูด ซื้อ ส.ส.หัวละ 50 ล้านเข้าคอก

นายสมคิดกล่าวว่า พรรคสร้างอนาคตไทยคิดและนำเสนอสิ่งเหล่านี้ อยากแนะนำรัฐบาลว่า ต้องคิดถึงคนรากหญ้า เคยได้ยินสุภาษิตหรือไม่ว่า ชาวนาตาย 1 คน พ่อค้าตายร้อยคน เป็นเรื่องจริง เพราะถ้าข้างล่างไม่มีเงิน คุณจะไปขายให้ใคร ใครมีอำนาจซื้อ สิ่งที่พูดมาทั้งหมด หมายถึงการเปลี่ยนแปลงประเทศ และต้องการให้พรรคสร้างอนาคตไทย เป็นพรรคการเมืองที่ดี เปลี่ยนแปลงการเมือง ไม่ต้องไปคิดว่า สมคิดจะเป็นนายกฯ หรือ ไม่เป็นนายกฯ ใครก็ได้เป็นนายกฯ แต่สำคัญ คือ พรรคต้องทำเพื่อบ้านเมือง

“เมื่อกี้นักข่าวพยายามถามผม สร้างอนาคตไทยจะรวมกับพรรคโน้น พรรคนี้ไหม ถ้าการรวมเป็นเพียงแค่การเอาจำนวนตัวเลข ส.ส.ที่ควรจะได้มารวมกัน เราไม่รวม แต่ถ้าเป็นการรวมเพราะว่า เกิดพลังต่อเนื่อง มีกำลังผนึกร่วมกันในเรื่องนโยบาย อันนั้นเป็นการรวมกันเชิงอุดมการณ์ จึงน่าสนใจ เป้าหมายไม่ใช่ซื้อ ส.ส. ค่าตัวคนละ 50 ล้าน สมมุตินะ ผมได้ข่าวมา คนที่ซื้อจะเอาตังค์มาจากไหน มันไม่เป็นวงจรอุบาทว์อีกหรือ แล้วจะมีประชาธิปไตยเพื่ออะไร ลูกหลานจะอยู่แต่ในวงจนอย่างนี้หรือ คิดให้ดี”นายสมคิดกล่าวและว่า

“วันนี้ไม่ได้บอกว่า ท่านต้องมาเลือกพรรคสร้างอนาคตไทย แต่ผมอยากจะเรียนท่านนิพิฏฐ์ (อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคและประธานภาคใต้พรรคสร้างอนาคตไทย) ว่า วันที่ผมเจอท่านนิพิฏฐ์ ผมมีความรู้สึกว่า พรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจผิดแล้ว และจะเรียนท่านนิพิฏฐ์เลยว่า สงครามมันเกิด แต่ท่านไม่เป็นศพแน่ ท่านจะกลับมาอย่างสง่าผ่าเผย และไม่ได้กลับมาคนเดียว กลับมาเป็นแผงใช่ไหมใช่”

นายสมคิดกล่าวว่า ถ้าท่านต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ไม่มีพรรคอื่น จำไว้เลย ถ้าจำชื่อพรรคยาก ตอบไว้เลย พรรคสมคิด สมคิด ชื่อเดิมเป็นคนจีน เกิดมายากจน อยู่ห้องแถวสองชั้นครึ่งที่เยาวราชตลาดเก่า น้ำคลำเป็นยังไงรู้จักดี ฮั่นกวง คือ ชื่อตน แปลว่าแสงสว่างอันสดใส พ่อตั้งชื่อนี้เพราะว่า เพราะเกิดมาครอบครัวไม่ค่อยสดใส บ่อจี๋ ธุรกิจล้ม ทุกคนจนหมด คนไม่เคยจนจะไม่รู้ว่าจนเป็นยังไง พอโตขึ้นให้ชื่อสมคิดแปลว่าเกิดมาคิดทั้งวัน ไม่ได้คิดเพื่อครอบครัว คิดเพื่อบ้านเมือง ประเทศชาติส่วนรวม เรามีครอบครัวต่างครอบครัว แต่รวมกันแล้วเป็นพลังสร้างประเทศไทย

“หวังเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง และหวังอย่างยิ่งที่จะเห็นพรรคการเมืองทั้งหลายก้าวข้ามความขัดแย้ง ขัดแย้งมาเกือบ 20 ปีแล้ว ยิ่งสาละวันเตี้ยลงทุกวัน”นายสมคิดตบท้าย