‘สุริยะ’ เผยผลศึกษาค่าเงินบาท ช่วยผลักดันเศรษกิจอุตสาหกรรมโตแต่ห่วงกลุ่มนำเข้า

สุริยะ เผยผลศึกษาค่าเงินบาทของสศอ. พบว่าช่วยผลักดันเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเติบโต แต่ห่วงกลุ่มนำเข้า แนะเร่งทำประกันความเสี่ยง

 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)ได้ศึกษาผลกระทบค่าเงินบาทอ่อนต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรมไทย โดยพบว่าสถานการณ์ค่าเงินบาทอ่อนค่าในปัจจุบัน (ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ระดับ 34.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับวันที่ 30 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 33.38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมโดยรวม เนื่องจากสถานการณ์ค่าเงินบาทอ่อนค่าเป็นบวกต่อการส่งออก ทำให้สินค้าไทยมีราคาถูกลงและสามารถส่งออกได้มากขึ้น แม้ว่าในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจะได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น แต่เมื่อพิจารณาโครงสร้างการผลิตอุตสาหกรรมพบว่า การอ่อนค่าของเงินบาทจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ แตกต่างกันตามสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง และสัดส่วนการส่งออกสินค้า โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบน้อยและมีสัดส่วนการส่งออกมากจะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสศอ. กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ผลกระทบการอ่อนค่าของเงินบาทโดยใช้แบบจำลองเศรษฐมิติมหภาค กรณีถ้าหากเงินบาทอ่อนค่าลง 5% ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริง (อาร์จีดีพี) จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.40% ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริงภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.35% มูลค่าการส่งออกเมื่อคิดเป็นสกุลเงินบาทจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.14% มูลค่าการนำเข้าเมื่อคิดเป็นสกุลเงินบาทจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.94% ด้านการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.21% เนื่องจากผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มมากขึ้น การลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.31% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะขยายตัวที่ 0.

บาทอ่อนกระทบอุตฯ 4 กลุ่ม

นายทองชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ จากการศึกษาข้อมูลปัจจัยการผลิตและผลผลิตสามารถแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินบาทแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่ม 1 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบน้อยและมีสัดส่วนการส่งออกมาก เป็นกลุ่มที่มีการใช้วัตถุดิบในประเทศในการผลิตเป็นหลักและมีการส่งออกมาก ได้แก่ ปลากระป๋อง ผลไม้กระป๋อง เม็ดพลาสติก ยางแผ่น ยางแท่ง ยางนอกและยางใน น้ำตาล และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (ไมโครเวฟ เตารีด และพัดลม) กลุ่ม 2 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบมากและมีสัดส่วนการส่งออกมาก ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์อุปกรณ์การแพทย์ และเครื่องสำอาง กลุ่ม 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบน้อยและมีสัดส่วนการส่งออกน้อย ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้พึ่งพิงตลาดส่งออกเป็นหลัก ได้แก่ ยานยนต์ จักรยานยนต์ ยาสูบ เครื่องมือเครื่องใช้ในสำนักงาน (เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และคอมพิวเตอร์) ทอผ้า เครื่องแต่งกาย และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ กลุ่ม 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเข้ามากและสัดส่วนการส่งออกน้อย ได้แก่ เหล็กแผ่น เหล็กเส้น ยารักษาโรค น้ำมันดิบ และน้ำมันสัตว์

“กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบมากและมีสัดส่วนการส่งออกน้อยเป็นกลุ่มที่รับผลกระทบจากต้นทุนแพง ดังนั้น ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ควรบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม เช่น การทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า การประกันค่าเงิน การซื้อขายเงินตราต่างประเทศผ่านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นต้น รวมถึงควรบริหารจัดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ หาแหล่งทดแทนการนำเข้าพลังงานและการใช้วัตถุดิบอื่นที่เป็นทางเลือกเพื่อทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบหลัก”นายทองชัย กล่าว