“ณัฐชา” ย้ำ “ก้าวไกล” พร้อมลุยศึกเลือกตั้งผู้ว่ากทม. -ชี้รัฐยังใช้กม.ปิดปาก หวั่นคนหมดศรัทธาความยุติธรรม

‘ณัฐชา’ เผยรัฐยังใช้กฎหมายปิดปาก หวั่น ประชาชนหมดศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม ย้ำ ‘ก้าวไกล’ พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ส่ง ‘วิโรจน์’ ผนึกกำลัง ส.ก. ครบ 50 เขต เตรียมเปิดนโยบาย 27 มี.ค. นี้ 

 

วันที่ 9 มีนาคม 2565 ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 25 และโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงความพร้อมในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หลังคณะรัฐมนตรี ( ครม.) มีมติเห็นชอบให้มีการเลือกตั้งตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยจากที่ประชุมครม.เมื่อวานนี้ ( 8 มี.ค. 65 ) มีมติชัดเจน ให้มีการจัดเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพ ( ส.ก.) รวมไปถึงผู้ว่าเมืองพัทยา ทางพรรคก้าวไกล ยืนยันว่า พร้อม ‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ เป็นแคนดิเดตผู้ว่าฯ ในนามพรรคก้าวไกล ซึ่งขณะนี้ได้ทำงานในพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ร่วมกับ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. ของพรรคก้าวไกลทั้ง 50 เขต
.
“พรรคก้าวไกลพร้อมแล้วในการเข้าสู่การเลือกตั้ง ไม่ว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งในห้วงเวลาใดหลังจากนี้ และในวันที่ 27 มีนาคม 2565 พรรคก้าวไกลจะมีการเปิดนโยบายกรุงเทพมหานคร โดย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เเละ ว่าที่ส.ก.ทั้ง 50 คน ที่อาคารอนาคตใหม่”
.

ห่วง 2 คดีใหม่ รัฐบาลยังใช้กฎหมายปิดปากคนเห็นต่าง

นอกจากนี้ ณัฐชา ยังมีความเห็นต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองและกลุ่มผู้ชุมนุมที่เคลื่อนไหวในสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่ามีการดำเนินคดีกับประชาชนที่ออกมาเเสดงความคิดเห็นทางการเมือง 2 คดีด้วยกัน
.
กรณีเเรกคือ คดีของ คุณทานตะวัน นักศึกษาอายุ 20 ปี (กลุ่มมังกรปฏิวัติ) ถูกดำเนินคดีในข้อหาความผิดฐานดูหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ,ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่พนักงานและต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่พนักงานในการไลฟ์สดก่อนมีขบวนเสด็จบริเวณถนนราชดำเนินนอก ในวันที่ 5 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ภายหลัง คุณทานตะวันยังถูกเเจ้งข้อหาเพิ่มเติมฐานยุยงปุกปั่นตามมาตรา 116 และขัดขวางเจ้าหน้าที่พนักงานฐานทึ่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่พนักงานในกรณีทำโพลความคิดเห็นเรื่องขบวนเสด็จบริเวณลานหน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 8 กุมพาพันธ์ 2565 กรณีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ออกหมายเรียกบุคคลอื่นรวมอีก 8 ราย หนึ่งในนั้นมีเยาวชนอายุเพียง 15 ปี
.
กรณีที่สอง คดีของ คุณนิรพร เเนวร่วมธรรมศาสตร์เเละการชุมนุม ถูกดำเนินคดีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากที่ คุณนิรพร ถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเฟซบุ๊กเพจเเนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เเละได้โพสข้อความจำนวนหนึ่งโพส
.
“จากทั้ง 2 กรณี พรรคก้าวไกลเห็นว่า รัฐบาลยังไม่ทีท่าที่จะยุติที่จะดำเนินคดีต่อกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว ยังคงทำร้ายเยาวชนเเละนักศึกษา ทั้งที่พวกเขาเพียงออกมาเเสดงความคิด ความเห็น และเรียกร้องตามระบอบประชาธิปไตย เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เเต่เจ้าหน้าที่กลับใช้ข้อหาร้ายเเรง โดยเฉพาะการใช้มาตรา 112 อย่างหว่านแห คลุมเครือ ทั้งที่กฎหมายทางอาญานั้นมีโทษขั้นสูง ดังนั้น รัฐบาลจะต้องมีความชัดเจนและต้องมีพื้นฐานการตัดสินใจอยู่บนความเคารพสิทธิเเละเสรีภาพของประชาชน”

ณัฐชา ยังกล่าวด้วยว่า การตีความ มาตรา 112 และกระบวนการทางยุติธรรมของไทยในเวลานี้ ถูกตั้งคำถามมากขึ้น หลังศาลอาญาได้พิจารณาการติดสติกเกอร์ กูkult บนพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10 หน้าศาลฎีกา ในการชุมเมื่อนุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2563 โดยคดีดังกล่าว ศาลพิพากษาให้จำเลยกระทำความผิดมีโทษจำคุก 3 ปี ลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี ซึ่งคดีนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่ของหลักการในการตีความคำว่าหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่น และการขยายขอบเขตอย่างคลุมเครือถึงการกระทำต่อวัตถุสิ่งของ นอกจากนี้ กระบวนการยุติธรรมยังถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ปกติ เช่น การพยายามตัดพยานผู้เชี่ยวชาญของฝ่ายจำเลยออกไปทั้งหมด เเละการไม่บันทึกคำถามค้านของทนายฝ่ายจำเลย ทำให้คดีมีการพิพากษาที่รวดเร็วมาก
.
“พรรคก้าวไกล เห็นว่าการดำเนินคดีการเมืองโดยเฉพาะการบังคับใช้ มาตรา 112 อย่างที่เป็นอยู่ จะยิ่งเป็นการสะสมความขัดเเย้งทางการเมืองที่รอวันระเบิด ซึ่งจะส่งผลให้สิทธิเสรีภาพของพี่น้องประชาชนเสื่อมคลายลง ส่งผลให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม สถาบันตุลาการ เเละส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน การเเลกเปลี่ยนทางความคิดในห้วงเวลาเปลี่ยนผ่านทุกยุคสมัยจะต้องมีพื้นที่ปลอดภัย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรตระหนักเเละทบทวนอีกครั้งก่อนที่จะใช้กฎหมายปิดปากประชาชน” ณัฐชา กล่าวทิ้งท้าย