“โรม” ขอชาวอีสานเลือกก้าวไกลเข้าสภา สร้างปวศ.ใหม่ด้วยศักดิ์ศรีประชาชน

วันที่ 16 ตุลาคม 2564 นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นภายหลังการประชุมใหญ่พรรคก้าวไกลที่จังหวัดขอนแก่นว่า

ขอเสียงชาวอีสานเลือกผู้แทนจากก้าวไกลเข้าสภา เพื่อนำพาประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ไม่ต้องเขียนด้วยเลือดและน้ำตา แต่เขียนด้วยวาจาและศักดิ์ศรีของประชาชนอย่างไม่ต้องกลัวอำนาจใด

ภาคอีสานคือพื้นที่การต่อสู้ทางการเมืองของผู้ถูกกดขี่มาอย่างยาวนาน ประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้เขียนด้วยเลือดและน้ำตาของประชาชนมานับร้อยปี นับตั้งแต่กบฏผู้มีบุญ ที่ถูกปราบปรามและให้ร้ายโดยส่วนกลาง การสร้างภาพจำว่าเป็นภูมิภาคแห่งความแร้นแค้น ประชาชนไม่มีความเข้าใจในการเมือง ทั้งที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยตั้งที่ภาคอีสานเป็นที่แรก หรือการต่อสู้กับกบฏบวรเดชนั้น ภาคอีสานคือภูมิภาคที่เป็นฐานที่มั่นปราบกบฏและส่งกำลังช่วยเหลือและต่อต้านกบฏตั้งแต่โคราช สกัดกั้นการล่าถอยของฝั่งกบฏมาที่อีสานด้วยการระเบิดทางรถไฟที่เมืองพล ล้วนเป็นคุณูปการในการก่อสร้างประชาธิปไตยโดยประชาชนทั้งสิ้น
.
นักการเมืองอีสานในอดีตล้วนเป็นผู้มีหัวก้าวหน้าและเข้าร่วมการต่อสู้ของประชาชน เป็นสมาชิกเสรีไทยที่ร่วมกอบกู้เอกราช แต่ความก้าวหน้าของผู้แทนล้วนนำมาซึ่งความหวาดกลัวของชนชั้นนำจนนำมาสู่การลอบสังหารผู้แทนและรัฐมนตรีทั้งสี่ แต่กระนั้นภูมิภาคนี้ก็ไม่เคยหมดจิตวิญญาณแห่งการเป็นนักสู้แต่อย่างใด
.
พรรคก้าวไกล ตระหนักดีถึงความเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์การต่อสู้นี้ การชนะใจคนอีสานได้ก็คือปัจจัยสำคัญที่เราจะต้องทำเพื่อปลดล็อคสลักทางการเมืองสู่การเอาอำนาจอธิปไตยของประชาชนกลับมาจากชนชั้นนำเดิม เพื่อให้ศักดิ์ศรีของประชาชนชาวอีสานที่ถูกกระทำมาเป็นเวลานานจะได้ถูกจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์กระแสหลักของตัวเองที่ไม่ต้องถูกนิยามโดยใคร
.
ที่ผ่านมาการเมืองแบบประชาธิปไตยได้นำสิ่งที่เป็นความหวังคือนโยบายโดยพรรคการเมืองที่มีผู้แทนการเมืองของตัวเองเข้าสู่พื้นที่ แต่เราต่างรู้กันดีว่าปัจจัยเบื้องลึกที่กดขี่ประเทศนี้ยังคงอยู่ และหากเรายังไม่สามารถปลดล็อคสลักสำคัญนั้นได้ การคืนศักดิ์ศรีและสร้างการพัฒนาด้านต่างๆให้กับภูมิภาคก็จะพบกับอุปสรรคร่ำไป
.
พรรคก้าวไกล ที่นำโดยคุณ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าของเรา อยากขอโอกาสคนอีสานทุกท่าน ในการส่งผู้แทนจากพรรคก้าวไกลไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศตามอุดมการณ์ของพรรคก้าวไกล เลือกพวกเราเข้าสู่สภาเพื่อเลือกผู้นำที่กล้าพอจะพูดปัญหาของพี่น้องอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจใดไม่ว่าจะอยู่สูงมากเพียงใด
.
เพราะอำนาจสูงสุดนั้นเป็นของราษฎร และราษฎรที่ถูกกดขี่ จะต้องร่วมกันปลดผนึกพันธนาการนั้น เพื่อนำพาประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ไม่ต้องเขียนด้วยเลือดและน้ำตา แต่เขียนด้วยวาจาและศักดิ์ศรีของประชาชนอย่างไม่ต้องกลัวอำนาจใด
.