อานนท์ เชื่อไม่เกิน 3 เดือน อาจมีเหตุกลับเข้าเรือนจำอีก เมินบางสื่อเรียก ‘3 กีบ’ ชี้ไม่ใช่สื่อปกติ

‘อานนท์’ เชื่อไม่เกิน 3 เดือน อาจมีเหตุกลับเข้าเรือนจำอีกรอบ ยักไหล่ถูกบางสื่อเรียก ‘3 กีบ’

วันที่ 4 มิถุนายน เฟซบุ๊ก ‘ข่าวสด’ เผยแพร่ภาพสดสัมภาษณ์ นายอานนท์ นำภา ถึงประเด็นการถูกคุมขังนานกว่า 3 เดือน และการติดเชื้อไวรัสโควิด-19

ตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์โดยนายประวิตร โรจนพฤกษ์ นายอานนท์กล่าวว่า ตนเพิ่งออกมาเรือนจำได้ 2 วัน ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ 3 หลังติดคุกมา 113 วัน และเพิ่งได้รับการประกันตัวชั่วคราว โดยก่อนหน้านี้ได้มีการยื่นขอประกันตัวมาหลายครั้ง

สภาพการใช้ชีวิตของนักโทษ และสิ่งแวดล้อมในเรือนจำมีส่วนทำให้นักโทษหลายคนติดเชื้อ ถ้าไม่สามารถทำให้เรือนจำคลายความหนาแน่นลงได้ มันก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเชื้อโควิดในเรือนจำได้ นอกจากนี้ คือต้องมีการปรับเปลี่ยนเรื่องคุณภาพโภชนาการในเรือนจำ อาจจะต้องมีการรับบริจาคจากภาคมวลชน โดยต้องมองข้ามการกลัวว่าจะมีการซุกยาเสพติดที่เอาเข้าไปในนั้น และท้ายที่สุดคือ เรือนจำ 1 ห้อง ขนาด 60 ตารางเมตร ไม่ควรที่จะเกิน 10 คน ง่ายๆ คือ ควรจะสามารถกางแขนได้ เพราะตอนที่มีการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 นักโทษต้องอยู่ในห้องทั้งวันทั้งคืน แต่ตอนนี้จำนวนผู้ต้องขังต่อห้องมันล้นเกินไปกว่า 3 เท่า

นายอานนท์กล่าวต่อว่า เชื่อว่าอีกไม่เกิน 3 เดือน ตัวเองก็ต้องกลับเข้าเรือนจำ เพราะความขัดแย้งมันทำให้คนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มากเท่าไหร่มีอาวุธมีเครื่องมือในการจัดการคนเห็นต่าง เช่น การไปร้องให้ถอนประกัน ในตอนนี้มีทั้งสื่อ และฝ่ายตรงข้ามที่เรียกขบวนของประชาชนว่า “3 กีบ” แต่มันไม่มีผล เพราะสื่อที่เรียกแบบนี้ก็เป็นสื่อที่ชัดเจนว่าเขามีจุดมุ่งหมายอย่างไร แต่ขณะเดียวกันสื่อที่มีวุฒิภาวะจริงๆ จะไม่ทำแบบนี้ การพยายามบั่นทอนด้อยค่าขบวนของประชาชนให้เป็นเรื่องคนโง่ถูกหลอก ถูกธนาธรหลอก ทักษิณซื้อตัว และฝ่ายตรงข้ามชอบผลิตวาทกรรมที่ออกมาด้อยค่า เราก็แค่ยักไหล่ และขำๆ ไป อย่างตอนที่ผมอยู่โรงพยาบาลก็เจอสื่อที่ออกมาด่า มันทำให้คิดว่า สภาพแบบนี้มันไม่ใช่สื่อปกติแล้ว มันไม่ใช่สื่อเอียง แต่มันคือสื่อที่เป็นการลาดไปเลย

“การแลกเปลี่ยนมันต้องเกิดการเรียนรู้ เพราะคำว่าเสรีภาพมันกว้างมาก การที่เราไม่ได้เดินไปถึงจุดที่มันกว้างสุดมันอาจไม่ใช่เสรีภาพที่แท้จริง บางทีเราติดโซ่ที่ล่ามเท้าอยู่ การที่เราเดินไปสุดโซ่ อาจจะคิดว่ามันคือเสรีภาพ แต่ถ้าเราปลดโซ่ มันไปได้ไกลกว่านั้น” นายอานนท์ กล่าว

นายอานนท์ กล่าวในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ว่า ในอีก 1 ปีข้างหน้า ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง คงใช้ชีวิตปกติแบบนี้ เป็นนักกฎหมาย ทำคดีเพื่อประชาชน ส่วนตนพยายามที่จะคุยกับคนเห็นต่าง เพื่อต้องการสื่อสารให้รู้ว่า ในที่สุดแล้ว เราสามารถคุยกันได้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มันสามารถได้พูดในสิ่งที่ตัวเองคิด

“อยากให้ทุกคนรู้สึกว่า ตัวเองเป็นมนุษย์จริงๆ จะด่ากันได้นะ เห็นต่างกันได้ ถ้าเราเห็นปัญหาร่วมกันเราต้องช่วยกันแก้ อย่าไปคิดว่าใครมันต้องวิเศษวิโสมากกว่าใคร เพราะคนเราเท่ากัน การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในสังคม” นายอานนท์กล่าว