ศาลปกครองสูงสุดชี้ กสทช.ระงับยึดหลักทรัพย์ตามหนังสือค้ำประกันแบงก์บัวหลวง “ไทยทีวี”

ศาลปกครองสูงสุดยืนตามศาลปกครองกลาง สั่งกสทช.ระงับบังคับตามหนังสือค้ำประกันธ.กรุงเทพ “ไทยทีวี”นำค้ำค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอลงวดที่เหลือ จนกว่ามีคำพิพากษา

เมื่อเวลา 13.30น. วันที่1มิถุนายน ที่ศาลปกครองกลาง ถนนเจ้งวัฒนะ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง ที่มีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาโดยสั่งไม่ให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ดำเนินการใด ๆ เพื่อบังคับตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่ค้ำประกันให้กับบริษัทไทยทีวี ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล เลขที่ 02118140000101 ถึง 02118140000116 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 จำนวน 16 ฉบับ ตามเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ เลขที่ B1-S20031-0017-57 และเลขที่ B1-S20031-0024-57ลงวันที่ 25 เมษายน2557 ในงวดที่เหลือไว้จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

คดีดังกล่าว บริษัท ไทยทีวี จำกัด ยื่นฟ้อง กสทช. ต่อศาลปกครองกลาง ว่า กสทช.ไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมายหรือแผนแม่บทและคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในการเชิญชวนให้เข้าร่วมประมูลโทรทัศน์นระบบดิจิตอล ซึ่งบริษัทไทยทีวีจำกัดได้ขอยกเลิกใบอนุญาตและเลิกประกอบกิจการไปแล้ว แต่ กสทช.ได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตและเรียกให้บริษัทไทยทีวีจำกัดชำระค่าธรรมเนียมที่ค้างชำระ ผู้ฟ้องคดีจึงฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต รวมทั้งให้ กสทช.คืนเงินค่าธรรมเนียมที่ชำระไปแล้ว และระงับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมงวดที่เหลือและเรียกค่าเสียหาย พร้อมทั้งขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยห้ามมิให้มีการบังคับและให้ระงับการจ่ายค่าธรรมเนียมงวดที่ 3 ถึงงวดที่ 6 และการดำเนินการเพื่อบังคับตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด (มหาชน) ที่บริษัทไทยทีวีจำกัดนำมาวางไว้แก่ กสทช. จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติว่า บริษัทไทยทีวีไม่ได้ประกอบกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิตอลตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว แต่คดีมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่า บริษัทไทยทีวีหรือ กสทช.ปฏิบัติผิดข้อตกลงหรือสัญญาที่มีต่อกัน สำหรับ กสทช.นั้นจะมีสิทธิเรียกให้ธนาคารชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันก็เฉพาะแต่ในกรณีที่ กสทช.ไม่ได้ผิดข้อตกลงหรือสัญญาเท่านั้น ซึ่งกรณีบริษัทไทยทีวีจำกัด หรือ กสทช. เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงหรือสัญญาเป็นปัญหาที่ศาลจะต้องวินิจฉัยต่อไป กสทช.จึงยังไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้ธนาคารชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันเสมือนบริษัทไทยทีวีจำกัด เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงหรือสัญญาได้ เนื่องจากหากดำเนินการไปแล้วธนาคารย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับบริษัทไทยทีวีจำกัดซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นได้ ซึ่งมีผลเท่ากับบริษัทไทยทีวีจำกัดเป็นฝ่ายแพ้คดีทั้งที่ยังไม่มีคำพิพากษาของศาล การใช้สิทธิของ กสทช.จึงเป็นการกระทำซ้ำและกระทำต่อไปซึ่งการผิดสัญญา และการที่ศาลจะมีคำสั่งดังกล่าวมีผลเพียงทำให้ กสทช.ยังไม่ได้รับเงินค่าธรรมเนียมในทันทีเพื่อนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินเท่านั้น ซึ่งตามเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตก็ได้กำหนดให้ชำระค่าธรรมเนียมเป็นงวดๆ อยู่แล้ว ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลางที่มีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยให้ กสทช.ระงับการดำเนินการเพื่อบังคับตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด (มหาชน) ที่ผู้ฟ้องคดีนำมาวางไว้แก่บริษัทไทยทีวีจำกัดในงวดที่เหลือ จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น