กสม. เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบก่อสร้างสายสีชมพู หวั่นทำกระทบสิทธิปชช.

กสม. แนะ คมนาคม – รฟม. เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบก่อสร้างรฟฟ.สายสีชมพู หวั่นทำกระทบสิทธิปชช. – ทำแผนรองรับการจราจรอำนวยความสะดวกช่วงชั่วโมงเร่งด่วน

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า กสม.ได้พิจารณา กรณีศึกษาผลกระทบด้านการจราจรของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี จึงมีข้อเสนอแนะมาตรการและแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการ ว่า จากที่ได้มีการขยายเวลาการก่อสร้างจากกำหนดเดิมออกไปอีก 1 ปี การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ต้องติดตามการทำงานของบริษัทผู้ได้รับสัมปทานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ดำเนินการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดโดยเคร่งครัด และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ใช้การสัญจรผ่านเส้นทางก่อสร้าง ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถเปิดการเดินรถระยะที่ 1 (สถานีมีนบุรี – สถานีเซ็นทรัลรามอินทรา) ได้ ภายในเดือนตุลาคม 2564 และเดินรถตลอดเส้นทางภายในเดือนตุลาคม 2565 ตามที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้กำหนดแผนการเดินรถไว้

นายสุวัฒน์ กล่าวต่อว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัทผู้ได้รับสัมปทานควรปรึกษาหารือร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อหาแนวทางการเพิ่มบุคลากรช่วยอำนวยการจราจร รวมทั้ง จัดทำแผน ด้านการจัดการจราจรตลอดแนวการก่อสร้างรองรับสภาพปัญหาในชั่วโมงเร่งด่วนและในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินจนกว่าโครงการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ นอกจากนี้ หากพื้นที่ใดก่อสร้างแล้วเสร็จก็ควรเร่งคืนพื้นผิวการจราจรให้แก่ประชาชนโดยเร็วและควรตรวจสอบและแก้ไขจุดเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนและบริเวณที่เกิดปัญหาน้ำท่วมขังตลอดแนวการก่อสร้าง โดยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลอย่างทั่วถึงและทันต่อสถานการณ์เพื่อประโยชน์ต่อการวางแผนการเดินทาง

นายสุวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงคมนาคม ควรมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดนำประเด็นปัญหาและข้อค้นพบจากการดำเนินโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะในระหว่างการก่อสร้างที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนและก่อให้เกิดความล่าช้าในการก่อสร้าง ดังเช่น กรณีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ ไปเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนมาตรการป้องกันและบรรเทาปัญหาให้แก่ประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐในอนาคต