“ทรัมป์” กลายเป็นปธน.สหรัฐคนที่ 3 ถูกสภาคองเกรสถอดถอน

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ถูกรัฐสภาเดินหน้าถอดถอนอย่างเป็นทางการแล้ว หลังที่ประชุมสภาล่างได้ลงมติรับรองต่อทั้ง 2 ข้อกล่าวหาต่อทรัมป์ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมตามเวลาสหรัฐ

สภาล่างได้ให้การรับรองข้อมติแรกในประเด็นการใช้อำนาจประธานาธิบดีโดยมิชอบด้วยคะแนนเสียง 230 ต่อ 197 ขณะที่ข้อกล่าวหาที่ 2 เกี่ยวกับการขัดขวางการทำงานของสภาคองเกรซ ได้รับการรับรองด้วยคะแนน 229 ตอน 198 เสียง

การผ่านมติเพื่อเริ่มต้นกระบวนการถอดถอนทรัมป์อย่างเป็นทางการ มีขึ้นหลังจากที่นางแนนซี เพโลซี ประธานรัฐสภาสหรัฐ ประกาศเริ่มต้นกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนทรัมป์ได้เพียง 85 วัน โดยหลังจากนี้จะมีการส่งเรื่องต่อไปให้วุฒิสภาพิจารณาซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาในเดือนมกราคมปีหน้าต่อไป
ทั้งนี้ การเลือกตั้งของทรัมป์ทำให้สหรัฐเผชิญกับแบ่งขั้วทางการเมือง ครอบครัว เพื่อนหรือแม้แต่เป็นเรื่องลำบากสำหรับนักการเมืองที่จะจุดตรงกลางท่ามกลางการแบ่งแยกขณะที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าความท้าทายไม่ว่าการผงาดของจีนและวิกฤตสภาพอากาศ
กระบวนการถอดถอนนายทรัมป์เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งในปีหน้า โดยนายทรัมป์ที่ตั้งใจครองสมัยที่ 2 ต้องเจอคู่แข่งจากฝั่งเดโมแครตอย่างนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐยุคโอบาม่า

นายไบเดนวิจารณ์นายทรัมป์อยู่หลายอย่าง ไม่ว่าการใช้อำนาจโดยมิชอบ ละเมิดคำสัตย์ในการบริหารและทรยศ โดยนายไบเดนทวิตหลังโหวตถอดถอนนายทรัมป์ว่า สหรัฐฯต้องไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้แต่ตัวประธานธิบดีด้วย

โดยประเด็นที่เป็นสาเหตุอันนำไปสู่การยื่นถอดถอนนั้นคือ การแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ ทรัมป์และครอบครัวติดต่อกับฝ่ายรัสเซีย และการติดต่อกับประธานาธิบดีเซเลนสกี้ของยูเครน เพื่อให้สอบสวนนายไบเดนและนายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชาย ฐานเป็นกรรมการบริษัทพลังงานของยูเครนทั้งที่ไม่มีหลักฐาน โดยแลกกับข้อเสนอให้ความช่วยเหลือกับยูเครน

ทั้งนี้ ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ ก่อนหน้านายทรัมป์ มีประธานาธิบดีที่เข้าสู่กระบวนการถอดถอนได้แก่ นายบิล คลินตัน ในข้อหาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมต่อกรณีชู้สาวกับเจ้าหน้าที่ฝึกงานในทำเนียบขาว แต่วุฒิสภายังโหวตรับรองนายคลินตันให้อยู่ต่อ คนที่สองคือ นายแอนดรูว์ แจ๊คสันในปี 1868 ในกรณีปลดรัฐมนตรีกระทรวงสงคราม แต่ก็รอดไปในชั้นวุฒิสภา

ส่วนอีกคนที่ยังไม่ทันเข้าสู่กระบวนการถอดถอนคือ นายริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 1974 จากประเด็นอื้อฉาวคดีวอเตอร์เกท หลังจากที่คณะกรรมาธิการยุติธรรมอนุมัติญัตติให้ดำเนินกระบวนการถอดถอน นายนิกสันขอลาออกก่อนที่ สภาคองเกรสจะผ่านญัตติถอดถอนเขา