“ยาดองโลณโสจิรกะ” โปรไบโอติกส์สมัยพุทธกาล ทางเลือกใหม่ในการซ่อมสุขภาพ

ในช่วงระยะ 4-5 ปีมานี้ กระแสน้ำหมักโปรไบโอติกส์ก็ยังมาแรง แม้จะมีข่าวการโฆษณาชวนเชื่อด้านสรรพคุณเกินจริงและมีผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยขายอยู่ในตลาดออนไลน์อยู่บ้างก็ตาม

แต่เนื่องจากน้ำหมักโปรไบโอติกส์ยังมีคุณค่าในการสร้างเสริมสุขภาพจึงยังได้รับความนิยมอยู่มาก

โดยเฉพาะคุณประโยชน์สำคัญของโปรไบโอติกส์ที่เข้าไปช่วยสร้างสมดุลให้กับลำไส้ใหญ่ โดยควบคุมเชื้อแบคทีเรียตัวร้าย ๆ ในลำไส้ใหญ่อันเป็นสาเหตุของโรคทั้งหลายในทางเดินอาหาร และช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ห่างไกลจากโรคริดสีดวงและมะเร็งลำไส้ใหญ่

ปัจจุบันมีการใช้โปรไบโอติกส์ป้องกันอาการท้องร่วงรุนแรงในทารก และลดอัตราการเสียชีวิตของทารกเนื่องจากอาการท้องร่วงได้ผลดีมาก

อีกหน้าที่หนึ่งซึ่งสำคัญคือโปรไบโอติกส์ยังช่วยผลิตวิตามินบี 12 อันเป็นวิตามินที่หายากมากในอาหารทั่วไป แต่โปรไบโอติกส์สามารถผลิตวิตามินบี 12 ได้จากการย่อยกากอาหารในลำไส้ใหญ่ และวิตามินบี 12 เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวไปซ่อมแซมการอักเสบภายในร่างกาย อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ เช่น มีไข้ต่ำๆ

ดังนั้น ถ้าร่างกายมีโปรไบโอติกส์ ก็จะลดปัจจัยเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยลงไปด้วย

 

เคล็ดลับของโปรไบโอติกส์ คือ หัวเชื้อแบคทีเรียชนิดดีที่ชื่อ แล็กโตบาซิลลัส (Lactobacillus) และ ไบไฟโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) ซึ่งเข้าไปควบคุมเชื้อโรคตัวร้ายที่ส้องสุมอยู่ในลำไส้ใหญ่ไม่ให้แผลงฤทธิ์ มากกว่า 10 ปีมาแล้วที่หน่วยงานรัฐ สวทช. (สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ได้ศึกษาวิจัยและให้การอบรมเผยแพร่เรื่องการผลิตหัวเชื้อแล็กโตบาซิลลัสหลายสายพันธุ์ เพื่อใช้ในการผลิตน้ำหมักโปรไบโอติกส์และนมเปรี้ยว

ที่น่าสนใจคือทีมวิจัยของ สวทช.เลือกใช้ ผักเสี้ยน มาดองเพื่อเพาะเลี้ยงหัวเชื้อ เพราะในผักเสี้ยนมีสารอาหารที่ดีมากสำหรับเพาะเลี้ยงแล็กโตบาซิลลัส ผักเสี้ยนไม่ใช่เป็นแค่ผักพื้นบ้านรสชาติดี แต่ยังเป็นสมุนไพรที่ปรากฏในคัมภีร์สรรพคุณแลมหาพิกัดของแพทย์แผนไทย ซึ่งช่วยแก้โลหิตเน่าเสียในสตรีหลังคลอด กระจายน้ำเหลือง แก้ลมอันเป็นพิษ เป็นต้น

ชาวบ้านไทยรู้จักทำส้มผักเสี้ยนเป็นอาหารพื้นบ้านมานานแล้ว เพียงแค่เด็ดยอดผักเสี้ยนมาใส่โหลดองเกลือผสมข้าวสุกเพื่อให้กลายเป็นแป้งหมักในตัวทิ้งไว้ 3-4 วันก็ออกรสเปรี้ยว

เอามากินเป็นกิมจิไทยไม่น้อยหน้ากิมจิเกาหลี

ในทางพระพุทธศาสนาก็ให้ความสำคัญกับน้ำหมักโปรไบโอติกส์มากถึงกับบัญญัติเป็นพระวินัยกล่าวไว้ในหมวดยา (เภสัชชขันธกะ) ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาพาธด้วยอาการลมพานในไส้ฉัน ยาดองโลณโสจิรกะ ได้

คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่าของหมักดองเป็นของแสลงโรค แต่สำหรับยาดองโลณโสจิรกะนอกจากเป็นน้ำหมักดองที่ไม่แสลงแล้วกลับช่วยให้หายจากโรคลมในท้อง คลื่นไส้ อาเจียนได้อย่างปลิดทิ้ง เพราะสูตรยาดองสองพันห้าร้อยปีนี้ไม่ธรรมดา ในอรรถกถาอธิบายสูตรยาดองโลณโสจิรกะไว้โดยละเอียด ดังนี้

ยาดองโลณะโสจิรกะ คือเภสัชที่ปรุงด้วยข้าวทุกชนิดซึ่งดองด้วยเกลือ (โลณะ แปลว่า เกลือ, โสจิรกะ แปลว่า ข้าวชนิดต่างๆ) โดยมีส่วนประกอบหลักดังนี้

(1) น้ำฝาดแห่งผลสมอไทย มะขามป้อม และสมอพิเภก ซึ่งมีรสฝาดแกมเปรี้ยว

(2) ธัญชาติ หรือพืชจำพวกข้าวทุกชนิด รวมทั้งอปรัณชาติ หรือพืชอื่นที่ไม่ใช่ข้าว ได้แก่ พืชจำพวกถั่ว งา และผักทุกชนิด

(3) ข้าวสุกแห่งธัญชาติทั้ง 7 ชนิด คือ ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวละมาน ข้าวฟ่าง ลูกเดือย และหญ้ากับแก้

(4) ผลไม้ทุกชนิดมีผลกล้วย เป็นต้น ผลไม้ที่งอกในหัวทุกชนิด เช่น เหง้าหวาย เหง้าการะเกด และหัวเป้ง เป็นต้น

(5) เนื้อปลา และเนื้ออื่นๆ

(6) เภสัชหลายอย่าง มี มธุเภสัชรสหวาน ได้แก่ น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และโลณเภสัชรสเค็ม ได้แก่ เกลือสินเธาว์ เกลือธรรมดา

(7) เครื่องเทศต่างๆ เป็นต้น

 

กรรมวิธีปรุง ให้เอาของทุกอย่างดังกล่าวใส่รวมกันลงในหม้อดองน้ำเกลือ ปิดฝา ไล้ปากหม้อไว้อย่างสนิทไม่ให้อากาศเข้า เก็บไว้ 1-3 ปี จนเภสัชวัตถุยุบงวดตัวลง นำมากรองให้ใสจะได้น้ำยาดองโลณโสจิรกะที่มีรสและสีม่วงเหมือนน้ำลูกหว้าสุก ใช้เป็นยาแก้โรคอย่างชะงัดสำหรับผู้ป่วยโรคลม โรคไอ หืดโรคเรื้อน โรคผอมเหลือง นิ่ว และโรคริดสีดวงทวาร เป็นต้น

ทรงมีพุทธานุญาตชัดเจนว่า “ภิกษุไข้จงฉันยาดองโลณโสจิรกะตามสบายเถิด แต่ถ้าไม่ไข้ พึงเจือด้วยน้ำ แล้วฉันต่างน้ำเถิด” ซึ่งแปลความได้ว่าทรงให้ภิกษุไข้ฉันน้ำหมักโลณโสจิรกะเป็นยารักษาโรคได้ไม่มีข้อห้าม และภิกษุทั่วไปสามารถฉันเป็นน้ำปานะต่างน้ำได้ แต่ต้องเจือน้ำเท่าตัว โดยอาจจะใช้เป็นเครื่องดื่มก่อนอาหาร (ปุเรภัต) หรือหลังอาหาร (ปัจฉิมภัต) เป็นน้ำสมุนไพรโปรไบโอติกส์ช่วยย่อยอาหารได้หมดจด ดังมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า

“จะหาเภสัชใดที่ช่วยชำระโภชนาหารให้งวดสนิทไม่ผิดสำแดงแสลงโรคเสมอด้วยยาดองโลณโสจิรกะนั้น ไม่มี”

ในท้องตลาดเวลานี้ยังไม่มีโปรไบโอติกส์สูตรยาดองโลณโสจิรกะสมัยพุทธกาล ถ้า สวทช.หรือผู้ผลิตน้ำหมักโปรไบโอติกส์จะทำวิจัยน้ำหมักสูตรนี้แล้วสร้างผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกส์แบรนด์พุทธนิยมอันเก่าแก่ขึ้นมา ก็จะได้เสียงตอบรับจากผู้บริโภคโปรไบโอติกส์เพื่อสุขภาพอย่างถ้วนหน้าแน่นอน •

 

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ | โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง

มูลนิธิสุขภาพไทย www.thaihof.org