ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 มีนาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | คนแคระบนบ่ายักษ์ |
เผยแพร่ |
ประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (5) : ว่าด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัฐธรรมนูญ จาก พ.ศ.2475-ปัจจุบัน
กฎหมายสูงสุดก่อนหน้าธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 ล้วนมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทั้งสิ้น
แต่ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 แตกต่างไปจากฉบับก่อนหน้าทั้งหมดในส่วนที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพราะไม่มีมาตราใดบัญญัติไว้
แต่มีมาตรา 20 ที่กล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวแก่การวินิจฉัยใดตามความในวรรคก่อนเกิดขึ้นในวงงานของสภา หรือเกิดขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีขอให้สภาวินิจฉัย ให้สภาวินิจฉัยชี้ขาด”
และภายใต้ธรรมนูญฯฉบับชั่วคราว พ.ศ.2502 ที่มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 9 ปี ซึ่งนับว่ายาวนานกว่ารัฐธรรมนูญฉบับถาวรหลายฉบับ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จฯ เยือนต่างประเทศระหว่าง พ.ศ.2502-2510 ถึง 31 ครั้ง
และในช่วงเวลาที่พระบาทพระสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไม่ได้ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักรทั้ง 31 ครั้งนี้ “สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี” ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
และเข้าใจว่าภายใต้มาตรา 20 ของธรรมนูญ พ.ศ.2502 จะอิงกับรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จขึ้นครองราชย์ นั่นคือ อิงกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2492 มาตรา 19-22 และถือว่าเป็นการตีความประเพณีการปกครองไทยในระบอบประชาธิปไตยตามมาตรา 20 ของธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2502
โดยมาตรา 19 บัญญัติไว้ว่า “ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งด้วยความเห็นชอบของรัฐสภาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”
การเสด็จเยือนต่างประเทศทั้ง 31 ครั้งภายใต้ธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2502 ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ครั้งที่หนึ่ง ประเทศเวียดนามใต้ ระหว่างวันที่ 18-21 ธันวาคม 2502
สอง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 8-16 กุมภาพันธ์ 2503
สาม สหภาพพม่า ระหว่างวันที่ 2-5 มีนาคม 2503
สี่ สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน-15 กรกฎาคม 2503
ห้า ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 19-23 กรกฎาคม 2503
หก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม-2 สิงหาคม 2503
เจ็ด สาธารณรัฐโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 22-25 สิงหาคม 2503
แปด ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 29-31 สิงหาคม 2503
เก้า ประเทศเดนมาร์ก ระหว่างวันที่ 6-9 กันยายน 2503
สิบ ประเทศนอร์เวย์ ระหว่างวันที่ 19-21 กันยายน 2503
สิบเอ็ด ประเทศสวีเดน ระหว่างวันที่ 23-25 กันยายน 2503
สิบสอง สาธารณรัฐอิตาลี ระหว่างวันที่ 28 กันยายน-1 ตุลาคม 2503
สิบสาม นครรัฐวาติกัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2503
สิบสี่ ประเทศเบลเยียม ระหว่างวันที่ 4-7 ตุลาคม 2503
สิบห้า สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 11-14 ตุลาคม 2503
สิบหก ประเทศลักเซมเบิร์ก ระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคม 2503
สิบเจ็ด ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 24-27 ตุลาคม 2503
สิบแปด ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 3-8 พฤศจิกายน 2503
สิบเก้า สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ระหว่างวันที่ 11-22 มีนาคม 2505
ยี่สิบ สหพันธรัฐมลายา ระหว่างวันที่ 20-27 มิถุนายน 2505
ยี่สิบเอ็ด ประเทศนิวซีแลนด์ ระหว่างวันที่ 18-26 สิงหาคม 2505
ยี่สิบสอง ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม-12 กันยายน 2505
ยี่สิบสาม ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม-5 มิถุนายน 2506
ยี่สิบสี่ สาธารณรัฐจีน ระหว่างวันที่ 5-8 มิถุนายน 2506
ยี่สิบห้า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ 9-14 กรกฎาคม 2506
ยี่สิบหก สาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ 29 กันยายน-5 ธันวาคม 2507
ยี่สิบเจ็ด สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 22-28 สิงหาคม 2509
ยี่สิบแปด สาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ 29 กันยายน-2 ตุลาคม 2509
ยี่สิบเก้า ประเทศอิหร่าน ระหว่างวันที่ 23-30 เมษายน 2510
สามสิบ สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 6-20 มิถุนายน 2510
สามสิบเอ็ด ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 21-24 มิถุนายน 2510
และหลังจาก พ.ศ.2510 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิได้เสด็จฯ เยือนต่างประเทศอีกเลยเป็นเวลา 27 ปี
จนปี พ.ศ.2537 พระองค์ได้เสด็จฯ เยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ 8-9 เมษายน 2537 และหลังจากนั้นมิได้เสด็จฯ เยือนต่างประเทศอีกเลย
และทุกครั้งที่พระองค์เสด็จฯ เยือนต่างประเทศโดยมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ด้วยระหว่าง พ.ศ.2502-2510 “สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี” ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทุกครั้ง
แต่ในคราวเสด็จฯ เยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ 8-9 เมษายน 2537 โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตามเสด็จฯ ด้วย และมิได้มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่อย่างใด
นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร และก็มิได้มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ซึ่งในช่วงเวลานั้นคือ พ.ศ.2537 ประเทศไทยอยู่ภายใต้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 ซึ่งก็มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้ ซึ่งผู้เขียนจะได้กล่าวถึงต่อไป
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2537 เพื่อทรงร่วมในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่จังหวัดหนองคาย และเพื่อทอดพระเนตรการดำเนินงานตามโครงการศูนย์พัฒนาและบริการด้านการเกษตรห้วยซอน-ห้วยซั้ว อันเป็นโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อจัดตั้งต้นแบบของการบูรณาการและเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้แก่ประเทศลาว
ซึ่งไม่เพียงแต่ประเทศลาวเท่านั้น แนวพระราชดำริที่เป็นองค์ความรู้และวิทยาการต่างๆ ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาชนบท แต่ยังเผยแพร่ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สหภาพพม่า รวมทั้งแนวพระราชดำริในการปลูกหญ้าแฝกก็ได้รับการเผยแพร่ไปสู่หลายประเทศทั้งราชอาณาจักรภูฏาน และอีกหลายประเทศในทวีปแอฟริกา เช่น ราชอาณาจักรเลโซโท ก็นำแนวพระราชดำริดังกล่าวไปปรับใช้ในประเทศของตนด้วย
การเสด็จฯ เยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ 8-9 เมษายน 2537 ถือเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ไม่มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 9 แม้ว่าธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2534 จะกำหนดไว้ก็ตาม
จะด้วยเหตุผลใด ผู้เขียนจะขอวิเคราะห์ในภายหลัง