Past Lives และ Long Live Love!

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงฯ ฉบับนี้ขอพูดถึงภาพยนตร์สองเรื่องที่เข้าฉายในช่วงเวลานี้สักหน่อย เรื่องแรกเป็นภาพยนตร์เกาหลี ชื่อ Past Lives ชื่อไทยซึ้งๆว่า “ครั้งหนึ่ง…ซึ่งคิดถึงตลอดไป” ส่วนอีกเรื่องเป็นภาพยนตร์ไทยของเรานี่เองชื่อเรื่องว่า Long Live Love!

ที่หยิบสองเรื่องนี้มาเล่าด้วยกัน ด้วยมันเป็นเรื่องของ “ชีวิตคู่” เหมือนกัน แต่คนละบริบท และประเด็น

หากแต่ว่าพอจะเล่าต่อและเทียบเคียงกันได้

คําว่า Past Lives ถ้าแปลตรงตัวก็คือ “ชาติที่แล้ว” ซึ่งในเรื่องนี้มีตัวเอกอยู่ตัวหนึ่งที่ประเด็นของเรื่องคือ “พรหมลิขิต” หรือที่ในภาษาเกาหลีเรียกว่า “อินยอน”

ตัวเอกฝ่ายหญิงที่ชื่อ “นอร่า” หรือชื่อเดิมในภาษาเกาหลีว่า “นายอง” เป็นคนเชื่อเรื่องพรหมลิขิต และคิดว่าการที่เธอได้เจอะเจอกับคนที่รักนั้นมาจากพรหมลิขิตนั่นเอง

นอร่าได้พูดถึงนัยยะของ “อินยอน” นี้ให้กับชายคนหนึ่งที่ต่อมาได้กลายมาเป็นสามีของเธอว่า “ถ้าบังเอิญคนสองคนเดินสวนกันบนถนน บังเอิญเสื้อผ้าสัมผัสกัน แปลว่าพรหมลิขิตได้ผูกพันทั้งคู่ไว้ ให้กลับมาพบกัน”

และพรหมลิขิตที่เธอหมายถึงนั้นไม่ใช่สามีปัจจุบัน หากเป็นเพื่อนชายในวัยเด็กของเธอที่เปรียบได้ว่าเป็นรักแรกที่ยังซุกซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจแม้เวลาจะผ่านเนิ่นนานมาร่วม 24 ปีแล้วก็ตาม

เพื่อนชายคนนั้นชื่อว่า “แฮซอง” เป็นเพื่อนสนิทตอนที่เธอยังอยู่ที่ประเทศเกาหลี และได้พูดจาตามประสาเด็กว่าได้ออกเดทด้วยกัน ตอนนั้นทั้งคู่อายุ 12 ปี และ ด.ญ.นายอง พร้อมน้องสาวจำ ต้องย้ายตามพ่อแม่มาอยู่ที่ประเทศแคนาดา เป็นการจากลากันโดยไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกไหม

แน่นอนที่แต่ละฝ่ายต่างก็ต้องเติบโตและมีวิถีชีวิตของตนเองไป

และด้วยความสามารถของโซเชียลมีเดียในยุคต่อมา ทำให้ทั้งสองในวัย 24 ปีได้มีโอกาสพบเจอและพูดคุยกันอีกครั้ง แม้จะเป็นการสื่อสารผ่านหน้าจอในคนละซีกโลกก็ตาม

ตอนนั้นนอร่าย้ายมาทำงานเป็นคนเขียนบทละครในนิวยอร์กแล้ว ในขณะที่แฮยองยังอยู่ในโซลเช่นเดิม จะว่าไปแล้วเป็นฝ่ายชายที่ยังคิดถึงเธอตลอดเวลา และพยายามจะติดต่อเธอให้ได้ แต่ด้วยความที่เธอเปลี่ยนชื่อเป็นนอร่าแล้วจึงไม่สามารถค้นหาได้

ทางเดียวคือ ทักทายไปในเฟซบุ๊กของพ่อของนอร่า และนอร่าก็ได้มาเจอว่า แฮยองพยายามติดต่อกับเธอ เธอจึงทักทายตอบ และนั่นได้ช่วยรื้อฟื้นความสัมพันธ์ในวัยเด็กของทั้งสองขึ้นมาได้ และนอร่าพบว่าลึกๆ แล้วเธอก็ยังคงคิดถึงเขาอยู่เหมือนกัน

ประโยคเรียบๆ แต่ดูจริงใจของแฮยองที่บอกว่า “ผมชอบแบบนี้จัง ที่ได้คุยกับคุณ” ทำให้นอร่ารู้สึกว่าเขายังเป็นคนคนเดิมที่เธอเคยไว้ใจและมีใจให้

ด้วยความเข้าใจผิดบางเรื่อง ทำให้ทั้งสองไม่ได้ติดต่อกัน แต่ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป 12 ปีที่ทั้งคู่ต่างอายุ 36 ปีแล้ว ก็ได้มีโอกาสกลับมาเจอกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ผ่านหน้าจอ แต่เป็นตัวเป็นๆ

แฮยองได้เดินทางจากโซลตั้งใจเพื่อมาพบเธอที่นิวยอร์ก เขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายเพราะทราบดีว่าเธอนั้นแต่งงานแล้วกับชายอเมริกันเชื้อสายยิวที่ชื่อ “อาเธอร์” ทั้งคู่ได้เจอกันที่บ้านพักของศิลปินนักเขียนแห่งหนึ่ง และด้วยความมีอะไรคล้ายๆ กันหลายเรื่อง และบรรยากาศที่เป็นใจ ทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันจนถึงขั้นแต่งงานกันในเวลาต่อมา

แม้เหตุผลลึกๆ ของการแต่งงานของนอร่ากับเขาก็เพื่อให้เธอได้ใบอเมริกันซิติเซ่นให้สามารถอยู่ทำงานที่เธอรักได้ตลอดไปก็ตาม

พาร์ตของหนังที่ดีและน่าสนใจที่สุดคือพาร์ตที่แฮยองได้มาเจอกับนอร่า และมีอาเธอร์อยู่ด้วยนั่นเอง

ที่ว่าดีคือ ผู้กำกับฯ และเขียนบทเองด้วยคือ “Ceiline Song” ได้ถ่ายทอดความคิดและการแสดงออกของคนทั้งสามได้อย่างเป็น “ชีวิตจริง” ที่ไม่ต้องดราม่า ฟูมฟาย หรือโลกสวยแต่อย่างใด แต่มันใกล้เคียงกับชีวิตจริงของคนวัย 36 ปีมากๆ ที่เชื่อว่าหลายคนอาจจะมีเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาแล้ว

ผู้ชมได้ซึมซับดีว่า ทั้งสองต่างยังมีความรู้สึกดีดีให้แก่กันอย่างมาก หากว่าถ้านอร่ายังโสด การมาของแฮซองต้องลงเอยด้วยการจับคู่กับนอร่าแน่นอน แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ ทั้งคู่เปิดใจให้กัน ให้อีกฝ่ายรับรู้ความรู้สึกของกันและกัน แต่เป็นการเปิดใจแบบคนเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักคิดและรู้จักชีวิตแล้ว

แม้แต่อาเธอร์เองก็ใจกว้างพอให้ภรรยาไปเจอกับชายที่มีอดีตฝังใจ แม้จะแอบกลัวว่าเขาอาจเสียเธอไปก็ได้ ประโยคที่เขาคุยกับนอร่าว่า “หมอนั่นบินมาตั้งสิบสามชั่วโมง ผมจะไม่ห้ามคุณพบเขาหรอก” ทั้งน่ารักและเจ็บปวดอยู่ในที

ฉากเปิดเรื่องของหนังเรื่องนี้ เป็นฉากในบาร์ที่คนทั้งสามนั่งอยู่ด้วยกัน และมันย้อนกลับมาอีกในตอนท้ายเรื่องที่ได้ทำงานกับความรู้สึกของผู้ชมอย่างอยู่หมัด

ทั้งสองคุยกันว่าเพราะพรหมลิขิตทำให้เราได้เจอกัน และก็มีคำถามว่าถ้านอร่าไม่ได้จากโซล แฮยองจะยังตามหาเธอไหม ทั้งคู่จะยังคบกัน เลิกกันไหม แต่งงานกันไหม และจะมีลูกด้วยกันไหมคำตอบที่ต่างฝ่ายรู้ดีคือ “ไม่รู้เหมือนกัน”

แต่ที่รู้คือ การมาพบกันครั้งนี้เป็นเหมือนบททดสอบของคนสามคน ฉากที่นอร่าเดินมาส่งแฮยองเพื่อขึ้นรถแท็กซี่ก่อนจะกลับไปโซล เป็นโอกาสสุดท้ายที่ทั้งคู่จะได้เจอหน้ากันหลังจาก 24 ปีผ่านมา

การจากลาครั้งนี้มันสร้างความรู้สึกสับสนและเจ็บปวดอย่างมาก การกอดลากันนั้นเหมือนการสั่งลา และเป็นคำตอบให้กับคนทั้งสองว่า ชีวิตต้องดำเนินต่อไปอย่างที่มันควรจะเป็น

ก่อนที่นอร่าจะเดินกลับ มาซุกหน้าร้องไห้กับอกของอาเธอร์อย่างสุดกลั้น

จากความเชื่อเรื่องพรหมลิขิตที่ทำให้หญิงชายคู่หนึ่งได้เจอะเจอกัน แม้จะไม่ได้ลงเอยด้วยการครองคู่กันก็ตาม ก็มาถึงอีกพรหมลิขิตหนึ่งที่ทำให้ ผู้ชายที่ชื่อ “สติ” และผู้หญิงที่ชื่อ “เมตตา” ได้มาเจอกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย และต่อมาทั้งคู่ก็ได้แต่งงานมีลูกสาววัยรุ่นหนึ่งคน

หนังเรื่อง Long Live Love! นี้ต่างจากเรื่อง Past Lives โดยสิ้นเชิง ทั้งประเด็นของเรื่อง และแนวทางการนำเสนอ ในขณะที่ Past Lives ออกจะเรียลมากๆ แต่ Long Live Love! นั้นออกแนวแฟนตาซีและด้วยการนำเสนอที่ฉูดฉาดเกินจริงอยู่มาก

เรื่องราวของสามีภรรยาที่สามีแม้จะชื่อสติแต่ก็ไม่มีสติในการใช้ชีวิตเลย ยังคบเพื่อนที่พากันไปมั่วผู้หญิง และใช้ชีวิตแบบไม่สนใจครอบครัวเท่าที่ควร ในขณะที่ภรรยาที่ชื่อ “เมตตา” ก็ไม่สามารถมีความเมตตาให้กับสามีแย่ๆ ได้อีกต่อไป เพราะเธอมีความฝันในชีวิตคู่ที่สามีไม่สามารถตอบสนองได้

สุดท้ายก็ต้องหย่ากัน เรื่องเริ่มต้นด้วยการที่ทั้งคู่จะแยกทางกันอยู่แล้ว เมตตากำลังจะทิ้งสติไปทำงานที่บาหลี และทิ้งลูกสาววัยรุ่นให้เขาดูแล จนกว่าเธอจะกลับมารับลูกได้ แต่สติเกิดอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาลเสียก่อน แผนการในชีวิตเลยต้องหยุดชะงักลง

ซ้ำร้ายคือ สติกลับสูญเสียความทรงจำในอดีตไป หากแต่ว่าเขากลับสามารถย้อนไปสัมผัสเรื่องราวในอดีตได้ผ่านการถ่ายรูปที่บ่งบอกการเป็นแฟนตาซีของหนัง การได้ย้อนเวลาไปนี้ ทำให้สติได้พบว่า เขานั้นเหี้ยอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเขากับภรรยา และเขากับลูกสาว

เขาจึงพยายามปรับปรุงตัวใหม่เท่าที่จะทำได้ แต่ด้วยที่อะไรๆ มันเกินสุกงอมแล้ว ชีวิตคู่ของทั้งสองก็ต้องพังทลายลงเช่นเดิม แต่อย่างน้อยทั้งคู่ก็แยกจากกันด้วยความเข้าใจกันมากขึ้น และพบ ว่าบางทีการไม่อยู่ด้วยกันอาจทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่าก็เป็นได้

ประโยคหนึ่งในหนังที่สะท้อนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีคือ “เรามักจะเห็นคุณค่าของอีกคนหนึ่ง เมื่อเราได้เสียมันไป”

หากการได้พบเจอกันของคนคู่หนึ่งเป็นเพราะพรหมลิขิตชักนำจริงๆ แต่ก็ไม่ได้หมาย ความว่าคนทั้งสองจะได้ครองคู่กันอย่างที่ฝัน

และหากว่าได้ครองคู่กันจริงๆ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตคู่จะสวยงามเสมอไป บางทีการได้พบเจอกันที่เริ่มต้นด้วยความรู้สึกดีดี และเก็บความรู้สึกที่ดีนั้นไว้กับตัวตลอดไป ก็อาจจะดีกว่าการได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน และพบแต่ความขมขื่นจอมปลอมก็เป็นได้

 

สําหรับการเป็นภาพยนตร์แล้ว ต้องขอชื่นชมการแสดงของคู่พระนางของหนังทั้งสองเรื่องอย่างยิ่ง เรื่อง Past Lives นั้น บทของนอร่า แสดงโดย “เกรต้า ลี” และบทของแฮยอง แสดงโดย “ยูแทโอ” ทั้งคู่แสดงออกถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เกินจริง และไม่ซุกซ่อนจนเรามองไม่เห็น ฉากที่ทั้งคู่ได้เจอกันเป็นครั้งแรกในนิวยอร์กหลังจาก 24 ปีผ่านไป แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนชีวิตจริง เพราะมันทั้งดีใจ เสียดาย หวนหา อยากทำอะไรตามใจแต่ต้องระงับใจและท่าที แม้แต่ตอนนอร่าสวมกวดแฮยองด้วยความคิดถึง เขาก็ยังลังเลว่าจะกอดตอบดีไหม อย่างไร

และการแสดงที่ตรึงใจนี้ก็มาทำงานอีกครั้งในฉากที่ทั้งคู่ต้องจากลากันอย่างที่เล่าไปแล้ว

ส่วนพระนางของเรื่อง Long Live Love! นั้น นำโดย “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” ในบทสติ และ “ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ในบทเมตตา แม้โทนหนังจะออกแนวเกินจริง แต่การแสดงของทั้งคู่กลับเป็นธรรมชาติได้อย่างน่าประทับใจ แม้บางฉากจะต้องโอเวอร์สักหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับเกินเลยจนรับไม่ได้ แต่กับฉากที่ต้องแสดงออกถึงความรู้สึกลึกๆ ที่เจ็บปวด พังทลายของตนเองนั้นทั้งคู่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม จนบางครั้งอดน้ำตาซึมไม่ได้

เรื่องของ “คน” นั้นมันซับซ้อน ลึกลับ และสับสนอยู่แล้ว แค่ทำความรู้จักตัวเองให้ถ่องแท้ยังยาก ยิ่งต้องมาเรียนรู้ชีวิตคนอื่นที่พรหมลิขิตบันดาลให้มาใกล้ชิดกันอีก ก็ยากยิ่งกว่าหลายเท่า

แต่อย่างไรก็ยังไม่สับสนวุ่นวาย เหมือนเรื่องของ “คน” กับ “การเมือง” ที่ร้อนแรงอยู่ตอนนี้หรอก ใช่ไหมท่านๆ

มาดูว่าพรหมลิขิตทางการเมืองจะดลบันดาลอะไรมาให้ประชาชนคนไทยอีกบ้าง และจะลงเอยด้วยความสุขหรือทุกข์แค่ไหน น่าติดตามอย่างยิ่ง •