ELVIS ‘ราชาเพลงร็อก’

นพมาส แววหงส์

ผู้เขียนเป็นเด็กร่วมสมัยกับ “เอลวิส” โตขึ้นมากับเสียงเพลงของเอลวิส เพรสลีย์ ดูหนังแทบทุกเรื่องที่เอลวิสเล่น

เอลวิสหนึ่งเดียวคนนี้ เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวนไม่มาก ผู้ซึ่งทุกคนคุ้นเคยกับเรียกขานเพียงชื่อต้นชื่อเดียว โดยไม่ต้องต่อท้ายด้วยนามสกุลให้ยืดยาว

สมัยนั้นวงการเพลงฝรั่งในไทย-ซึ่งก็ฟังกันทางวิทยุเป็นหลัก–แทบจะแบ่งเป็นสองค่ายสองฝั่ง ด้วยนักร้องเสียงทองจากสองประเทศ คือ “เอลวิส” เพรสลีย์ จากอเมริกา กับ “คลิฟ” ริชาร์ด จากอังกฤษ

แฟนเอลวิสกับแฟนคลิฟต่างก็ชื่นชมคลั่งไคล้ไอดอลของตนไปตามเพลงตามกระแส

ตอนนี้ คลิฟกลายเป็นท่านเซอร์คลิฟไปเรียบร้อยแล้ว ตามธรรมเนียมอังกฤษที่ให้เกียรติคนเด่นคนดังที่สร้างชื่อเสียงระดับนานาชาติให้แก่ประเทศด้วยการตั้งให้เป็นอัศวินเสียเลย

ส่วนเอลวิสนั้น เมื่อ ค.ศ.1977 (พ.ศ.2520) สร้างความตระหนกตกใจ สะเทือนใจและเศร้าสลดไปทั่วโลกด้วยการลาจากโลกไปอย่างกะทันหันก่อนวัยอันควร ในวัยเพียง 42 ปี

หนังชื่อ Elvis จากฝีมือผู้กำกับฯ ชื่อดัง บาซ เลอร์แมนน์ ผู้ที่แฟนหนังรู้จักในสไตล์การเสนอภาพอลังการชวนตื่นตะลึง จาก Romeo + Juliet และ Moulin Rouge เป็นอาทิ จึงตกอยู่ในความสนใจ

ขนาดเพื่อนสมัยมัธยมของผู้เขียน ซึ่งเป็นแฟนพันธุ์แท้แบบเหนียวแน่นของเอลวิสมาแต่ครั้งโบราณกาล ยังถ่อออกจากบ้านไปดูหนังเรื่องนี้ในโรง ทั้งๆ ที่เลิกเข้าโรงหนังมาหลายสิบปีแล้ว

และหนังเรื่องนี้กวาดรางวัลไปมากมายอยู่ และได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์หลายสาขาด้วย สาขาเด่นที่ได้รับการยกย่องโดยทั่วไป คือการแสดงของออสติน บัตเลอร์ ผู้สวมบทบาทเป็นเอลวิส และใช้เสียงร้องของตัวเองในหลายเพลงเสียด้วย

บางช็อตบางมุม…โดยเฉพาะช่วงที่เอลวิส-บัตเลอร์ ปรากฏตัวบนเวทีการแสดง…มีความละม้ายคล้ายคลึงกับราชาแห่งร็อกจนต้องเบิกตากว้างดูนึกว่าตัวจริงเสียงจริงเลยทีเดียวเชียว

หนังชีวประวัติบุคคลเรื่องนี้ นำเสนอเรื่องจากมุมมองและการเล่าของพันเอกทอม ปาร์กเกอร์ (ทอม แฮงส์) ผู้จัดการส่วนตัวของเอลวิสเป็นระยะเวลาร่วมยี่สิบปี

ภายหลังจากที่ราชาเพลงร็อกเสียชีวิตแล้ว ทอม ปาร์กเกอร์ ตกเป็นข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการฉกฉวยผลประโยชน์อย่างไร้สำนึกจากดาราผู้โด่งดังในสังกัด

อีกทั้งปาร์กเกอร์ยังมีความผิดโทษฐานอพยพมาอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมาย

เขาไม่ใช่ผู้อพยพจากโลกที่สามหรอกนะคะ แต่มาจากเนเธอร์แลนด์ ซึ่งก็แปลว่าน่าจะหลบหนีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมา

และเรื่องนี้ส่งผลถึงเอลวิสผู้อยากเดินทางไปเปิดการแสดงในยุโรป แต่ปาร์กเกอร์คอยหลบเลี่ยงต่างๆ นานา

หนังจับเอาจุดนี้มาเริ่มเรื่อง ด้วยภาพที่ทอม ปาร์กเกอร์ ผู้สูงวัย นอนแบบอยู่ในโรงพยาบาล และเล่าเรื่องจากมุมมองของเขาให้ฟัง

เขาบังเอิญไปสะดุดตากับการแสดงและการเต้นของหนุ่มน้อยเอลวิสเข้า และรู้ทันทีว่านักร้องหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์มาก ซึ่งจะโด่งดังสร้างชื่อเสียงและเงินทองให้เขาได้ ถ้าได้เขาเป็นผู้จัดการให้

เอลวิส เพรสลีย์ เกิดในรัฐมิสซิสซิปปี และย้ายมาอยู่เมืองเมมฟิส เทนเนสซี โดยได้รับอิทธิพลทางดนตรีจากเพลงสวดของคนผิวดำ

ปาร์กเกอร์เสนอตัวเข้ารับเป็นผู้จัดการให้ แต่เนื่องจากขณะนั้นเอลวิสยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงต้องให้พ่อเป็นผู้เซ็นสัญญาแทนเขา

เวอร์นอน เพรสลีย์ (ริชาร์ด ร็อกซ์เบิร์ก) พ่อของเอลวิส เป็นคนไม่เป็นโล้เป็นพาย ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง แต่ก็ต้องมาเป็นเจ้าของกิจการดนตรีในชื่อของลูกชาย

เอลวิสสนิทกับแม่แกลดิส เพรสลีย์ (เฮเลน ทอมสัน) มาก เมื่อแม่ตายเพราะสุขภาพทรุดโทรมจากการใช้ยา เขาก็เศร้าเสียใจเสียจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร

เอลวิสเริ่มโด่งดังขึ้น ทั้งจากการแสดงสดบนเวทีและอัลบั้มเพลงที่ขายดิบขายดี ติดอันดับเพลงยอดนิยมยาวนาน

เขากลายเป็นดาราที่สาวๆ มากรี๊ดสลบใส่ เมื่อได้เห็นท่วงท่าการเต้นที่ยั่วเย้าเร้าอารมณ์

เอลวิสตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม ทั้งในการนำเพลงของคนผิวดำมาร้องและสร้างกระแสความนิยมในหมู่คนขาว และในท่าทางการเต้นที่เร้าอารมณ์ทางเพศ

เขาโดนห้ามโดนแบนต่างๆ นานา แม้กระทั่งเวลาไปแสดงทางโทรทัศน์ ผู้ใหญ่ก็สั่งห้ามไม่ให้กล้องถ่ายให้เห็นช่วงล่างต่ำจากเอวลงมา

และที่สุดของที่สุด เพื่อจะหยุดยั้งกระแสความนิยมในกลุ่มหนุ่มสาวที่คลั่งไคล้ ขณะที่ความนิยมของเขากำลังพุ่งสูงสุดฉุดไม่ไหว เอลวิสก็ถูกเรียกตัวไปรับใช้ชาติด้วยการเกณฑ์ทหาร โดยที่พันเอกทอม ปาร์กเกอร์ อ้างว่าเป็นการจัดการของเขา

เอลวิสหายหน้าจากแฟนๆ ไปเป็นทหารประจำการที่เยอรมนีเป็นเวลาสองปี และที่นั่นเขาได้พบเด็กสาวที่เขาจะแต่งงานด้วยในเวลาต่อมา คือ พริสซิลลา (โอลิเวีย เดอจอนจ์)

ครั้นระยะเวลารับใช้ชาติสิ้นสุดลง เอลวิสก็กลับมาและมุ่งความสนใจไปที่การเล่นหนัง เขาไม่อยากเล่นหนังเพลงในฐานะนักร้อง แต่อยากเป็นนักแสดงที่เอาจริงเอาจัง

แต่หนังของเขาไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก ในที่สุด เอลวิสจึงหันกลับมามุ่งหน้าร้องเพลง ออกอัลบั้ม และเปิดการแสดงบนเวทีที่ลาสเวกัส

เช่นเดียวกับที่เราได้เห็นจากหนังชีวประวัติคนเด่นคนดังทั้งหลาย ความสำเร็จอันเหลือเชื่อไม่ได้ทำให้เอลวิสมีความสุขในชีวิต ในที่สุดชีวิตการแต่งงานอันลุ่มๆ ดอนๆ ก็หักสะบั้นลง แม้จะมีลูกสาวสุดที่รักที่ชื่อ “ลิซ่า มารี”…ซึ่งเอลวิสเอาไปตั้งเป็นชื่อเครื่องบินส่วนตัวของเขาด้วย

พริสซิลลาพูดว่า เวลาเดียวที่เอลวิสมีความสุขที่สุดคือเมื่ออยู่บนเวทีต่อหน้าแฟนๆ ผู้คลั่งไคล้

เขาทุ่มสุดตัวสุดแรงเมื่ออยู่บนเวที เหนื่อยแทบขาดใจคลานอยู่กับพื้นเมื่อม่านปิดลง และต้องโด้ปตัวเองด้วยสารเสพติด เพื่อให้มีแรงไปต่อ

ทำให้มีคนกล่าวว่าสิ่งที่ฆ่าเอลวิสคือความรักของเขาที่มีต่อแฟนเพลง

ผู้เขียนออกจะรู้สึกแปร่งๆ แปลกๆ และไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมุมมองของเรื่องที่เล่าโดยพันเอกทอม ปาร์กเกอร์ แม้ว่าจะใช้ดาราขวัญใจมวลชนฝีมือเยี่ยมอย่างทอม แฮงส์ มาแสดงก็เถอะ

สไตล์อลังการอันเลื่องลือของบาส เลอร์แมนน์ ยังปรากฏให้เห็นโดยไม่ผิดหวัง แต่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับหนังดูจะลดถอยลงไป เมื่อเล่าจากมุมมองของ “ตัวร้าย” ที่เหมือนกับทากที่ดูดเลือดในชีวิตของเอลวิส

หนังจบด้วยเครดิตอันสมควรแก่ราชาร็อกผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่วัฒนธรรมมวลชน หรือ pop culture ในอเมริกาและส่งกระแสความนิยมไปทั่วโลก

เอลวิสยังคงเป็นศิลปินเดี่ยวที่มียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมรดกที่เขาสร้างไว้ยังคงสืบเนื่องมาถึงทุกวันนี้… •

ELVIS

กำกับการแสดง

Baz Luhrmann

นำแสดง

Austin Butler

Tom Hanks

Olivia DeJonge

Helen Thomson

Richard Roxburgh

 

ภาพยนตร์ | นพมาส แววหงส์