ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน - 5 กรกฎาคม 2561 |
---|---|
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์ / นพมาส แววหงส์
HEREDITARY
‘สยอง!’
กำกับการแสดง Ari Aster
นำแสดง Toni Colette Gabriel Byrne Alex Wolff Milly Shapiro Ann Dowd
Hereditary เป็นหนังจากฝีมือผู้กำกับฯ อารี แอสเตอร์ และเปิดตัวด้วยเสียงฮือฮาตอบรับที่เทศกาลซันแดนซ์ในปีนี้
จริงๆ แล้ว ดีที่สุดที่จะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้แบบที่ยังไม่มีข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น จึงขอแนะนำให้เลิกอ่านเสียตรงนี้เลยนะคะ ถ้าคิดจะดู
และขอบอกว่าเป็นหนังแนว thriller/horror ที่สนุกมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีที่ติติงนะคะ
ผู้เขียนโชคดีที่เข้าไปดูแบบไม่ได้หาข้อมูลไปก่อน เลยได้อรรถรสเต็มที่ และคาดเดาไม่ถูกว่าหนังจะพาเราไปทางไหนอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ที่จะเขียนต่อไปจะระมัดระวังไม่ให้เป็นสปอยเลอร์มากจนเกินไป ถึงอย่างนั้นก็ยังจะไปมีอิทธิพลต่อการชมครั้งแรกอยู่ดี อยากให้ไปดูแบบสดๆ เปิดใจรับอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องรู้อะไรไปก่อนจะเป็นการดีที่สุดเลย
การแสดงของนักแสดงทุกคนเยี่ยมยอดทั้งนั้น โดยเฉพาะโทนี่ โคแลตต์ อเล็กซ์ วูล์ฟ และมิลลี่ ชาพีโร คนแรกนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นนักแสดงฝีมือดีอยู่แล้ว ถ้ายังจำกันได้ เธอเล่นเป็นแม่ในเรื่อง The Sixth Sense ซึ่งเป็นหนังแนวเดียวกันนี้และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ด้วย
บทของแอนนี่ แกรห์ม ในเรื่อง Hereditary ก็น่าจะทำให้เธอได้รับการยกย่องในเวทีประกวดภาพยนตร์ต่างๆ อีกมาก
บทบาทของเด็กหนุ่มและเด็กหญิงผู้เป็นลูกชายลูกสาว ก็วางไว้พอเหมาะพอเจาะไม่แพ้กัน
การที่ไม่ใช้นักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นตา ยิ่งสร้างความสมจริงในความรู้สึกของคนดูขึ้นอีกด้วย
รูปลักษณ์ที่แปลกตาและดูหลุดโลก เวลาที่เด็กสองคนนี้ไปโรงเรียนและอยู่ในหมู่เพื่อนๆ ยิ่งแสดงให้เห็นชัดและน่าเชื่อว่าคนตระกูลนี้สืบเชื้อสายกันมาโดยมีเรื่องน่ากลัวอยู่ในสายเลือด
ดังในชื่อหนังที่ว่า เป็นเรื่องของกรรมพันธุ์
ส่วนนักแสดงที่คุ้นหน้าอีกคนคือเกเบรียล เบิร์นนั้นมีบทบาทน้อยกว่าที่ควร แม้จะอยู่ในฉากที่น่าสยองที่สุดฉากหนึ่ง
ถ้าจะพูดถึงเนื้อเรื่อง ก็บอกได้คร่าวๆ เพียงว่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากแม่วัยแปดสิบของแอนนี่เสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายไป และเรื่องเริ่มขึ้นในวันที่จัดพิธีศพ โดยที่ครอบครัวที่เหลือคือ ลูกสาว ลูกเขย (เกเบรียล เบิร์น) และปีเตอร์ หลานชาย (อเล็กซ์ วูล์ฟ) และชาร์ลี หลานสาว (มิลลี่ ชาพิโร)
ความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดในครอบครัว ค่อยๆ เผยออกมาทีละเล็กทีละน้อย จากถ้อยคำไว้อาลัยของแอนนี่ในงานศพ จากการเข้าร่วมประชุมบำบัดจิตของผู้สูญเสีย และจากความสัมพันธ์ที่แปลกแปร่งระหว่างคนในครอบครัว
นี่เป็นบทหนังที่ฉลาดนะคะ ซึ่งเล่าเรื่องแบบค่อยๆ เผยออกมาทีละน้อย และชวนให้ติดตาม พร้อมทั้งสอดแทรกความน่ากลัวไว้ในบรรยากาศทั่วๆ ไป
อ้อ…น่าจะบอกได้อีกนิดว่า แอนนี่มีอาชีพเป็นศิลปิน งานที่เธอทำคือสร้างฉากย่อส่วนของเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ดังนั้น จึงดูเหมือนว่ามีสายตาของสิ่งที่เหนือกว่าและใหญ่กว่า กำลังจ้องมองดูเข้าไปในฉากย่อส่วนที่เรากำลังมองดูอยู่
เหมือนกับตอนเปิดเรื่อง ซึ่งเราเห็นเหมือนบ้านตุ๊กตา ที่มีห้องต่างๆ ซ้อนกันอยู่และเปิดด้านข้าง ขณะที่กล้องซูมเข้าไปในห้องนอนห้องหนึ่งที่มีคนนอนอยู่ ซึ่งกลายเป็นฉากในชีวิตจริงของครอบครัวนี้
ผู้เขียนชอบองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ที่ใส่เข้ามาในเรื่อง ทำให้บรรยากาศชวนสยองทวีความเครียดขมึงขึ้น จวบจนถึงเหตุการณ์เหนือคาดในรถยนต์ ซึ่งคนขวัญอ่อนจะต้องกรีดร้องออกมาเลย แล้วก็มีคนขวัญอ่อนอยู่ในโรงมากพอดูเชียวละ
ดูแล้วชวนให้นึกถึงหนังสยองขวัญที่น่าจดจำเรื่องหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้คือ The Witch ซึ่งเป็นหนังย้อนยุคไปสู่ยุคการล่าแม่มด
เมื่อไม่อยากเผยเรื่องราวของหนัง Hereditary มากจนเกินไป ผู้เขียนจึงขอยกข้อความบางตอนที่เคยเขียนถึง The Witch ไว้ ซึ่งเป็นความรู้สึกคล้ายกับที่รู้สึกสำหรับ Hereditary
“นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราวหกสิบปีก่อนหน้า และเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เรียกกันว่า ‘การพิจารณาคดีแม่มดที่เมืองเซเล็ม’ ในช่วง ค.ศ.1692-1693 ซึ่งคนยี่สิบคนถูกตัดสินประหารชีวิตโทษฐานกระทำการในลัทธิบูชาซาตานและสาปแช่งเพื่อนบ้านด้วยเวทมนตร์ของแม่มด…”
“…หนังสร้างบรรยากาศได้อย่างเยี่ยมยอด ความระทึกใจและสงสัยใคร่รู้ทวีเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ การแสดงของนักแสดงทุกคน โดยเฉพาะเด็กๆ เยี่ยมยอดตรึงตรา…
…นี่ไม่ใช่หนังสยองขวัญแบบใช้มุขเขย่าขวัญหลอกให้เราตกใจ แต่สร้างเรื่องที่ทวีความเข้มข้นให้เรานั่งแทบไม่ติดที่ เป็นหนังประเภท ‘น่ากลัว’ ที่ทำได้ยอดเยี่ยม”
“หลังจากทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ผู้เขียนก็ยังมีข้อติติงใหญ่ๆ อยู่กับเรื่องราวเหนือธรรมชาติของหนัง ซึ่งถึงแม้จะสอดแทรกไว้เพียงพอประมาณ และไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวแบบหนังผีทั่วไป แต่ผู้เขียนก็ยังนึกเสียดายว่าทำให้หนังหวือหวาและหลุดโลกเกินไป
ถ้าหากว่าเน้นในลักษณะของจิตวิทยาล้วนๆ โดยหลีกเลี่ยงการนำเสนอสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างโจ่งแจ้งเสีย น่าจะทำให้หนังมีน้ำหนักและชวนคิดมากกว่านี้อีกเยอะ…”
ยังไงยังงั้นเลยค่ะ
ด้วยความยาว 2 ชั่วโมง 7 นาที ประมาณสัก 15 นาทีสุดท้ายนั่นแหละที่หลุดโลกไปเลย…