เผยแพร่ |
---|
เหมือนกับการต่อสู้ในเรื่อง”การเลือกตั้ง”จะเริ่มเมื่อคสช.โอนอ่อนผ่อนปรนด้วยการ”ปลดล็อก“ให้กับพรรคการเมือง
นั่นก็คือ ภายหลัง”เดือนมิถุนายน”
หลายพรรคการเมืองอาจจะคิดและประเมินสถานการณ์อย่างนั้น
นั่นก็คือ เคลื่อนไหวตาม “คำสั่ง”ของ”คสช.“
แต่ดูเหมือนในขณะนี้จะมีอย่างน้อย 3 พรรคการเมืองไม่ยอมดำรงอยู่ในลักษณะเหมือนกับเป็น”เป้านิ่ง”
1 ย่อมเป็นพรรคเพื่อไทย
1 ย่อมเป็นพรรคประชาธิปัตย์
และ 1 ย่อมเป็นพรรคอนาคตใหม่แม้จะยังอยู่ในระยะเพิ่ง”ตั้ง ไข่” ยังไม่อยู่ในสถานะอันเป็น”พรรคการเมือง”
การขยับขับเคลื่อนของพรรคเก่าอย่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้
พรรคเพื่อไทยไม่อยู่นิ่งเฉยแน่นอน
เพราะตกเป็น “เป้า”ในการกดดัน เล่นงานตั้งแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ต่อเนื่องมายังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษ ภาคม 2557
หากเล่นบท”อุดม เด็กดี”อย่างเดียวคงยับเยินยิ่งกว่านี้
พรรคประชาธิปัตย์ยิ่งมีความจำเป็นเพราะต้องการดึง”มวลชน”และต้องการยกสถานะให้เทียบเคียงกับพรรคเพื่อไทย อย่างชนิดหายใจรดต้นคอ
ถามว่าแล้ว”พรรคอนาคตใหม่”มีความจำเป็นอะไรด้วย ทำไมต้องร่วมขบวนไปกับพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์
ทำไมไม่นิ่งสงบรอรับ”ความเมตตา”จาก “คสช.“
หากดูจากหนังสือที่พรรคอนาคตใหม่ส่งผ่านกกต.ไปยังคสช.ก็จะเข้าใจ เพราะหากรอให้ผ่านเดือนมิถุนายนไปก่อนก็มีเวลาเพียง 10 เดือนเท่านั้นในการตระเตรียมสร้างพรรค
สั้นเหลือเกิน น้อยเหลือเกินในการที่จะเข้าไปต่อสู้กับพรรคการเมืองเก่า
ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์
ความพยายามของพรรคอนาคตใหม่จึงเหมือนกับปลาที่จะต้องว่ายทวนกระแสน้ำเพื่อแจ้งเกิดในทางการเมืองแทนที่จะตามน้ำไปอย่างงอก่องอขิง
เพราะมีแต่”ปลาตาย”เท่านั้นที่ลอย”ตามน้ำ”