เผยแพร่ |
---|
ข่าวการหวนคืนพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะมาจาก นายจาตุรนต์ ฉายแสง ไม่ว่าจะมาจาก นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ สะท้อนถึงการเสริมเติมพลังที่ก้าวหน้า พลังแห่งความหวังในปีกของประชาธิปไตย
อย่างน้อย นายจาตุรนต์ ฉายแสง ก็เคยดำรงตำแหน่งในฐานะ รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
เป็นพรรคไทยรักไทยในห้วงแห่ง”วิกฤต”ก่อนถูกคำสั่งยุบ
อย่างน้อยเมื่อดำเนินยุทธศาสตร์โลดโผนทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 นายจาตุรนต์ ฉายแสง ก็ดำรงอยู่ใน ฐานะประธานยุทธศาสตร์ พรรคไทยรักษาชาติ
อย่าได้แปลกใจหากที่ติดตามมาพร้อมกับการหวนคืนสู่พรรคเพื่อไทยคือการมอบตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการยุทธศษสตร์ และทิศทางการเมือง
ยิ่งเมื่อเสริมเข้ากับศักยภาพ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ยิ่งโดดเด่น
อย่างน้อยก็แสดงออกอย่างเด่นชัดว่าทั้ง นายจาตุรนต์ ฉายแสง และ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ดำรงอยู่ในสถานะแห่ง”สะพานเชื่อม”
สะพานเชื่อมไปยังการเคลื่อนไหวอันคึกคักของ”คนรุ่นใหม่”
หากกล่าวในวัยย่อมมิอาจกล่าวได้ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง หรือ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ อยู่ในสถานะแห่ง”เยาวรุ่น” กระนั้น หากมองผ่านกระบวนการในทาง”ความคิด”
ทั้ง นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ มี”เยาวภาพ”
ทั้ง 2 ยืนระยะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภา คม 2557 อย่างมั่นคงแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยน แม้จะต้องคดีและถูกจำ ขังก็มิได้ยอมจำนน
กล่าวในทาง”ความคิด” ทั้ง นายจาตุรนต์ ฉายแสง และ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ มีเอกภาพอย่างเป็นหนึ่งเดียวกับแนวและวิถีการขับ เคลื่อนของพรรคเพื่อไทย
จึงสามารถหลอมรวมเข้ากับยุทธศาสตร์”แลนด์สไลด์”ได้
การผนึกตัวรวมพลังของคนเก่าจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประ ชาชน จึงเป็นยุทธวิธีสำคัญที่จะสร้างความมั่นใจให้กับยุทธศาสตร์การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
ชี้ให้เห็นว่าแม้ในสนามเลือกตั้งจำเป็นต้องแข่งขันกับ”มิตร”แต่ก็เดินหน้าเอาชนะ”ศัตรู”อย่างเข้าใจในเส้นทางร่วมที่จะตามมา
นี่คือลักษณะ”ประสาน”และ”เชื่อมร้อย”ในทางการเมือง