ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ : Beauty and the Breast

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

จากแม่มดน้อยเฮอร์ไมโอนี ถึงวันนี้นอกจากนักแสดงสาวเจ้าบทบาทชาวอังกฤษอย่าง เอ็มมา วัตสัน (Emma Watson) จะรับบทนางเอกในภาพยนตร์เรื่องใหม่อย่าง “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” (Beauty and the Beast) แล้ว

เธอก็ยังควบตำแหน่งคนดังทางด้านสตรีนิยม (feminism) เห็นได้ง่ายๆ จากการที่สหประชาชาติมอบตำแหน่งทูตสันถวไมตรีเพื่อผู้หญิงให้กับเธอ

แถมเธอยังเป็นผู้ริเริ่มแคมเปญ #HeForShe ที่กระตุ้นให้ผู้ชายให้ความสำคัญกับผู้หญิง และตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาทางด้านสตรีนิยมอีกด้วย

ดังนั้น เมื่ออยู่ๆ เฟมินิสต์ตัวแม่อย่างวัตสันลุกขึ้นมาถ่ายแบบให้กับนิตยสาร Vanity Fair ด้วยการเปลือยอก แม้จะสวมเสื้อนอกทับ แต่ก็ทำให้เห็นเนินอกเธออยู่รำไร แบบเรียกแขกขนาดนี้ ทั้งสื่อในสหราชอาณาจักรบางสำนัก รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “ชาวเน็ต” ประเภทขวาจัด ไม่ว่าจะในประเทศหรือนอกยูไนเต็ด คิงดอมก็ตาม (แน่นอนว่าเรื่องอย่างนี้ ชาวเน็ตสัญชาติพี่ไทยก็ย่อมไม่มีที่จะพลาด) จึงพากันวิพากษ์วิจารณ์เธอว่า กระทำการไม่เหมาะสมกับความเป็นเฟมินิสต์ที่เธอแสดงออก ทั้งผลักดันมาตลอดเอาเสียเลย

แต่การลุกขึ้นมาสะบัดเสื้อผ้าแล้วโชว์เรือนร่างเซ็กซี่เล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ มันจะไปขัดกันกับหลักการของสตรีนิยมได้อย่างไรเล่าครับ?

ในเมื่อสิ่งที่สตรีนิยมเรียกร้องคือสิทธิที่เท่าเทียมกับผู้ชาย ไม่ใช่เรียกร้องให้ผู้ชาย หรือแม้กระทั่งผู้หญิงด้วยกันเอง ใช้อำนาจในการกดขี่การแสดงออก และสิทธิเหนือเรือนร่างของตนเองของผู้หญิง อย่างการมาชี้นิ้วสั่งสั่งสอนวัตสันคราวนี้เสียหน่อย?

 

รากเหง้าของการกดขี่สิทธิเหนือร่างกายของผู้หญิง ไม่ว่าจะด้วยความบ้าอำนาจของผู้ชาย หรือว่าด้วยตัวของผู้หญิง (และบางทีก็ด้วยตัวของผู้หญิงบางคน ที่เข้าใจผิดคิดว่าการปกป้องศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงด้วยการรักนวลสงวนตัว จะทำให้ตนเองเป็นเฟมินิสต์) ในสังคมตะวันตก อาจจะนับย้อนไปตั้งแต่ในนิทานที่เก่าไปกว่าเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร ที่วัตสันแสดงเป็นนางเอกเสียอีก เพราะมันเก่าแก่ไปถึงเรื่องของมนุษย์คู่แรกของโลกตามปกรณัมในศาสนาคริสต์เลยทีเดียว

ความในบทปฐมกาล (Genesis) ของพระคัมภีร์ (Bible แปลตรงตัวว่า พระคัมภีร์) ภาคพันธสัญญาเก่า (the Old Testament) อ้างเอาไว้ว่า มนุษย์คู่แรกที่พระเป็นเจ้าในศาสนาคริสต์สร้างขึ้นก็คือ อดัมกับอีฟ (“อีวา” หรือ “ฮาวา” ก็เรียก) แต่คนที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกที่จะสร้างขึ้นมาจากผงคลีดินก่อนนั้นก็คือ “อดัม” ซึ่งเป็น “ผู้ชาย” แล้วจากนั้นพระองค์จึงค่อยทรงสร้าง “อีฟ” คือ “ผู้หญิง” ขึ้นจากกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของอดัมนั่นแหละ

และถ้าจะมีพื้นฐานความเชื่ออย่างนี้แล้ว ผู้หญิงจึงเกิดมาจากหน่อเนื้อเชื้อไขของผู้ชายนะครับ ไม่ได้มีศักดิ์ และมีศรี เทียบเคียงกับผู้ชายได้มาตั้งแต่ต้น

เพราะถ้าไม่มีกระดูกซี่โครงของอดัมชิ้นนั้นแล้ว จะมีอะไรเป็นหลักประกันได้ว่า พระเจ้าจะทรงสร้างอีฟขึ้นมาจากผงคลีดิน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงสร้างอดัมขึ้นมา?

แต่ในเมื่อพระเจ้าได้สร้างมนุษย์คู่นี้ขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็ทรงได้มอบสวนสวรรค์อันงดงาม ที่มีชื่อว่า “อีเดน” (Eden) เพื่อสำหรับให้อดัมและอีฟ อาศัยอยู่ในนั้น พร้อมกับที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาสวนสวรรค์แห่งนี้เอาไว้ด้วย

พระผู้เป็นเจ้ายังทรงกำชับเอาไว้ด้วยว่า บรรพชนของมนุษย์ทั้งมวลคู่นี้จะร้องรำทำเพลงอะไรภายในสวนแห่งนี้ก็เชิญตามสะดวก

ข้อห้ามเพียงอย่างเดียวที่พระองค์ทรงขอเอาไว้ก็คือ ห้ามมิให้อดัมกับอีฟไปกินผลไม้จาก “ต้นไม้ที่ทำให้รู้ดีชั่ว” ซึ่งมีอยู่เพียงต้นเดียวเท่านั้นในสวน

ไม่เช่นนั้นโทษสถานเดียวที่พวกเขาจะได้รับก็คือ การถูกขับออกไปจากอีเดนสวนสวรรค์

และสุดท้ายตามความในบทปฐมกาลก็ได้อ้างเอาไว้ว่า ด้วยการล่อลวงของเจ้าปีศาจร้าย อีฟก็เผลอหม่ำเจ้าผลไม้แห่งความรู้ดีชั่วนั่นเข้าไปเสียจนเต็มคำอยู่ดีนะครับ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุให้มนุษย์อย่างเราๆ อดใช้ชีวิตสุขสันต์บนสวนสวรรค์แห่งนั้นมาตราบจนกระทั่งทุกวันนี้

เพราะที่ต้องโดนถีบออกมาจากสวนอีเดนแห่งนั้นน่ะไม่ใช่แค่ “ผู้หญิง” คือ “อีฟ” เท่านั้น “ผู้ชาย” ทั้งดุ้นอย่าง “อดัม” ก็ถูกไล่ออกนอกสวนสวรรค์ที่ว่าพร้อมกันนั้นด้วย

 

นี่แหละคือที่มาของ “บาปกำเนิด” (original sin) ซึ่งชาวคริสต์ถือกันว่า เป็นบาปที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่ยังไม่ทันได้เกิดแล้วร้องเสียงดัง “อุแว้” อะไรออกมาเลยด้วยซ้ำ เพราะถือเป็นบาปที่ติดตัวบรรพบุรุษของมนุษย์ทุกคนมาเหมือนๆ กันหมด แต่เจ้าบาปกำเนิดนี่ไม่ได้มีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไม่ว่าจะเป็นภาคพันธสัญญาเก่า หรือพันธสัญญาใหม่ (the New Testament) เลยแม้แต่คำเดียว เพราะเป็นสิ่งที่คนในรุ่นหลังจากการเรียบเรียงพระคัมภีร์ ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ต่างหาก

แน่นอนนะครับว่า “บาปกำเนิด” ที่ว่ามาจาก “ผลไม้ต้องห้าม” ที่ “ผู้หญิง” คืออีฟกินเข้าไปนั่นแหละ

ใครต่อใครมักจะเข้าใจผิดกันว่า เจ้าผลไม้ต้องห้ามของพระเป็นเจ้านั้นคือ “แอปเปิ้ล” แต่ที่จริงแล้วนี่เป็นความเข้าใจผิดในชั้นหลังต่างหาก เอกสารดั้งเดิมระบุว่า เจ้าผลไม้ที่ว่านี้คือ “ฟิก” (fig) ซึ่งเป็นพืชตระกูลมะเดื่อ

และก็เป็นผลฟิกที่ว่านี่เอง ซึ่งยิ่งแสดงให้เห็นว่า เจ้าบาปกรรมดังกล่าวนี้มันเกี่ยวข้องความเป็นผู้หญิงอย่างแยกกันไม่ค่อยจะขาด

 

เพราะในทางรากคำของภาษาโรแมนซ์ พวกฝรั่งเห็นว่า “fig” มีรากมาจากคำว่า “figue” “figo” หรือ “fico” ที่แปลว่า “ปากช่องสังวาส” ที่ใช้กันมาตั้งแต่พวกโรมันเรืองอำนาจ แถมต่อมาก็กลายเป็นคำสแลงหมายถึง “สมสู่” อีกต่างหาก โดยก็ใช้มาตั้งแต่ในสมัยของบิดาแห่งวรรณกรรมภาษาอังกฤษอย่าง เจฟฟรี่ย์ ชาวเซอร์ (Goeffrey Chaucer, ค.ศ.1343-1400) คือเมื่อเกือบ 600 ปีที่แล้วเลยทีเดียว

“ผู้หญิง” และ “บาปกำเนิด” ที่พวกเธอถูกใส่ไคล้จากตำนาน หรือปกรณ์ในศาสนา จึงสัมพันธ์อยู่กับเรื่องเพศ, กามารมณ์, การสมสู่ และอะไรอีกสารพัดที่เป็นสัญลักษณ์ของเรื่องทางเพศทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น หน้าอกหน้าใจ หรือเครื่องเพศ

คุณไมเคิล ไรท ฝรั่งคลั่งสยามผู้ล่วงลับ เคยเขียนอธิบายความหมายเกี่ยวกับคำว่า “sex” ในภาษาอังกฤษไว้นานแล้วว่า “sex” เป็นภาษาละติน แปลว่า “หก” หมายถึงบัญญัติข้อที่หกในบัญญัติสิบประการของพระเจ้าที่โมเสสรับเอามาจากเขาไซนาย แล้วเก็บไว้ในหีบพันธสัญญาที่เป็นสัญลักษณ์แทนตัวของพระเป็นเจ้า บัญญัติทั้งสิบประการนี้จึงศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สุด

นักคิดทางด้านเทวศาสตร์ศีลธรรม (Moral Theology) ในคริสต์ศาสนายุคเริ่มแรกได้แปลความ และพัฒนาความคิดเกี่ยวกับ “sex” บัญญัติข้อที่หก ในบัญญัติสิบประการไปอีกไกลว่า “กาม” มีไว้เพื่อสืบพันธุ์ และเป็นการ “สร้าง” (Creation) ที่สะท้อนงานสร้างจักรวาล (Creation) ของพระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้น “กาม” จึงเป็นเรื่อง “ศักดิ์สิทธิ์” ที่ต้องควบคุม และใช้เฉพาะเพื่อการสืบพันธุ์ การเสพกามโดยใช้เครื่อง หรือยาคุมกำเนิด การสังวาสระหว่างเพศเดียวกัน (ในความหมายเชิงกายภาพ) หรือการประกอบอัตกามบริหาร (ชักว่าว, ตกเบ็ด) ล้วนเป็นบาปหนัก เพราะถือเป็นการขัดขืนแผนผังของจักรวาลที่พระเป็นเจ้าได้กำหนดเอาไว้

นี่เป็นเหตุให้การประกอบเพศรสในหลายๆ รูปแบบกลายเป็นเรื่องน่าละอายทีเดียวเลยนะครับ

 

ในทัศนะอย่างนี้ อะไรๆ ที่จะส่อไปถึงเรื่องทางเพศได้นั้นก็จึงไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีทั้งนั้นน่ะแหละ

แต่ขบวนการอย่างนี้ก็มาถึงจุดสุดยอดในอังกฤษยุคพระนางเจ้าวิกตอเรีย (ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ.1837-1901) ที่ยกย่องเจ้านายเป็น “ผู้ดี” และเหยียดหยามสามัญชนให้เป็น “คนเลว, คนบาป”

ในยุคนี้แม้แต่คำที่มีความหมายชวนให้มโนถึงเพศรสอย่าง “หน้าอก” (breast) และ “สะโพก” (hip) ยังหายไปจากภาษาอังกฤษ จนต้องเรียกอกไก่ว่า “white meat” และสะโพกไก่ว่า “dark meat” เรียกได้ว่า

ดัดจริตกันจนกระทั่งแม้แต่ไก่ที่ตายแล้วยังพูดถึงทั้งหน้าอก และสะโพกออกมาตรงๆ ไม่ได้ (ทั้งที่ก็เป็นสมัยนี้เองที่มีแฟชั่นที่นิยมเสริมหน้าอก และสะโพกผู้หญิงให้ใหญ่โต จนพิลึกผิดธรรมชาติ)

ไม่ต้องสงสัยหรอกนะครับว่า ทำไมนักสตรีนิยมอย่าง เอ็มมา วัตสัน จึงถูกพวกขวาตกขอบวิจารณ์เมื่อรูปที่เธอถ่ายลงนิตยสารไม่ถูกจริตพวกเขาอย่างนั้น?

เพราะสำหรับสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ที่ไม่ให้เกียรติ ให้ร้าย และรังแกผู้หญิง แม้กระทั่งในตำนาน นิทาน หรือเทพปกรณ์ต่างๆ พวกเธอไม่มีสิทธิที่จะเปิดเผยเรือนร่างของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหนังส่วนไหน ด้วยจะกลายเป็นเรื่องผิดบาปมันดื้อๆ

ส่วนผู้หญิงบางกลุ่มที่ออกมาวิจารณ์เธอด้วยข้อหา “ไม่เหมาะที่จะเป็นเฟมินิสต์” ก็คงต้องให้พวกเธอเหล่านั้นไปอ่านบทสัมภาษณ์ที่วัตสันตอบกลับเกี่ยวกับกรณีนี้เอาไว้ว่า

“…เฟมินิสม์คือการให้ทางเลือกแก่ผู้หญิง ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่จะมาบังคับเรา เฟมินิสม์คือเสรีภาพ คือความเท่าเทียม…”