โอ้ว! คนไทยได้ดูบอลโลกฟรี “บิ๊กป้อม” แค่อยากคืนความสุข ลืมเรื่องเลือกตั้ง กับนาฬิกา ไปสักพัก

อีกเพียงไม่กี่อึดใจมหกรรมฟุตบอลโลกแห่งมวลมนุษยชาติ หรือฟีฟ่าเวิลด์คัพ 2018 ที่ทั่วโลกต่างจับตามองและการรอคอยชื่นชมฝีเท้าของสุดยอดนักเตะจาก 32 ชาติ ที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาร่วมบรรเลงเพลงแข้งกันในรอบสุดท้าย ที่ประเทศรัสเซีย ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน -15 กรกฎาคมนี้ กำลังใกล้เข้ามาทุกที

เช่นเดียวกับแฟนบอลจากประเทศไทย ที่ต่างใจจดใจจ่อรอชมศึกฟุตบอลโลก 2018 ไม่ต่างจากแฟนบอลทั่วโลก

แต่เมื่อระยะเวลาของการแข่งขันยิ่งใกล้เข้ามาเท่าไหร่ ก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขัน

เนื่องจากในปัจจุบันมีมูลค่าถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,000 กว่าล้านบาท

ทำให้ไม่มีเอกชนรายใดกล้าลงทุนซื้อลิขสิทธิ์

อันเนื่องมากจากบทเรียนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หลังบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เจ้าของลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2014 ในประเทศไทย ถูกคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สั่งให้ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกฟรีๆ

เพราะเป็นกีฬาที่ได้รับความสนใจของประเทศ จำเป็นต้องถ่ายทอดสดตามข้อบังคับ “Must Have”

จนเกิดคำถามว่าคนไทยจะได้ดูฟุตบอลโลกหรือไม่?

ก่อนหน้านี้ “บิ๊กเสือ” นายสกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ออกมายืนยันเองว่าคนไทยจะได้ดูฟุตบอลโลก 2018 อย่างแน่นอน

โดย กกท. จะรับหน้าที่เป็นผู้นำในเรื่องนี้ด้วยการให้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย หรือทีวีพูล เจรจาขอซื้อลิขสิทธิ์กับทางสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เอาไว้ก่อน

ทาง กกท. จะเดินหน้าหาช่องทางในเรื่องงบประมาณ

แต่ดูเหมือนความชัดเจนก็ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี

จนกระทั่งประเด็นนี้ได้ส่งมาถึงมือของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (บอร์ด กกท.) ที่ต้องการให้ประชาชนชาวไทยได้ชมฟุตบอลโลก

จึงให้ กกท. เข้ามาหาแนวทางโดยที่จะต้องไม่ใช้เงินภาษีจากประชาชน

และต้องเชิญภาคเอกชน รวมถึง กสทช. เข้ามาร่วมกันหารือ เพื่อหาเงินสำหรับค่าลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกให้ได้ครบ

“บิ๊กป้อม” กล่าวว่า ลักษณะการดำเนินการไม่ใช่ว่ารัฐบาลไปลงทุนซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกมา

แต่รัฐบาลจะเชื่อมการทำงานการเจรจาระหว่างบริษัทเอกชนกับฟีฟ่า

พร้อมยืนยันว่าคนไทยได้ดูฟุตบอลโลกฟรีแน่นอน ขอให้ใจเย็นๆ รอข้อสรุปจากบริษัทเอกชนที่กำลังคุย

ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา สิ่งที่คนไทยรอคอยก็เกิดขึ้น

เมื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จัดงานแถลงข่าวประเทศไทยเซ็นสัญญาคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 หลังผนึกกำลังกันระหว่างภาครัฐบาล อย่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย

ร่วมด้วยภาคเอกชน 9 องค์กร ได้แก่

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน), บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด

โดยจะทำการถ่ายทอดสดตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ทั้ง 64 แมตช์ แบบฟรีๆ ไม่เสียค่าใช้จ่าย ผ่านทางช่องทรูโฟร์ยู ช่อง 24, อมรินทร์ทีวี ช่อง 34 และ ททบ.5 ช่อง 1

ส่วนโปรแกรมการถ่ายทอดสดว่าแต่ละช่องจะทำการถ่ายทอดสดคู่ไหนบ้าง หลังจากนี้จะมีการประชุมอีกครั้ง

แม้การเจรจาที่ผ่านมาจะมีความล่าช้าไปบ้าง เนื่องจากคิงเพาเวอร์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนเจรจาในตอนต้น ได้รับแจ้งถึงนโยบายข้อกำหนดของฟีฟ่าว่าจะเจรจาและลงนามในสัญญาเฉพาะกับบริษัทผู้ประกอบธุรกิจบรอดแคสติ้งเท่านั้น

ในเวลาที่กระชั้นชิดเพื่อให้ฟีฟ่าอนุมัติได้รวดเร็วจะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาระดับโลก

จึงประสานให้บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด เป็นตัวแทนประเทศไทยในการเจราจาและลงนามในสัญญาในที่สุด

ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 เดือนจนเจรจาสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เกิดกระแสวิจารณ์เกี่ยวกับตัวของ “บิ๊กป้อม” ว่าการเข้ามากำกับดูแลเรื่องลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกจนสำเร็จในครั้งนี้จะทำให้ “กลายเป็นฮีโร่” หรือไม่? ที่ทำให้คนไทยได้ดูถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกด้วยการเจรจากับภาคเอกชน

รวมถึงยังมีการโยงเข้ามาที่ประเด็นเพื่อการหาเสียง “ไม่ทางตรง” ก็ “ทางอ้อม” ให้กับรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. สำหรับการเตรียมตัวลงสนามการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้นี้เช่นกัน

พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า “ผมไม่ใช่ฮีโร่ แต่ทุกคนช่วยกันต่างหาก พร้อมย้ำชัดเจนว่าที่ทำทั้งหมดไม่ได้หาเสียง แต่อยากให้คนไทยมีความสุขในการได้ดูฟุตบอล ได้ดูกีฬาที่ชื่นชอบโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ก็ต้องหาบริษัทเอกชนร่วมกันจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ กว่าจะได้ก็ต้องใช้ความพยายามพอสมควร ยืนยันว่าไม่ได้ทำเพื่อหาเสียงให้กับรัฐบาล คสช. เพราะเราทำเรื่องนี้กันมานานแล้ว ทำไมจะต้องเอาเรื่องนี้ไปวุ่นกับการเมืองด้วย พร้อมทิ้งท้ายขอร้องประชาชนว่าชมถ่ายทอดสดบอลโลกแล้ว ก็อย่าเล่นการพนันก็แล้วกัน”

สำหรับค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดอยู่ที่ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท

และยังมีค่าดำเนินการในการดึงและเผยแพร่สัญญาณอีกจำนวนหนึ่ง

รวมทั้งหมดประมาณ 1,400 ล้านบาท

ซึ่งจากเดิมมี 7 บริษัทให้การสนับสนุนงบประมาณ บริษัทละ 200 ล้านบาท

แต่บางบริษัทไม่สามารถสนับสนุนถึง 200 ล้านบาทได้ จึงต้องหาผู้สนับสนุนเข้ามาเพิ่มเติม

ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด จนครบ

หากจะมองในมุมของกีฬาว่าการผลักดันนโยบายให้คนไทยได้ดูฟุตบอลโลก 2018 แบบฟรีๆ โดยไม่นำการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็น่าจะเป็นผลงานชิ้นเอก หรือ Masterpiece ของรัฐบาล คสช. ในการคืนความสุขให้กับประชาชนตามที่สัญญาเอาไว้ก่อนหน้านี้

ส่วนแฟนฟุตบอลชาวไทยก็คงยืดอกได้เต็มที่แบบไม่น้อยหน้าประเทศเพื่อนบ้านในย่านอาเซียนอย่างเวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย

ที่มีบริษัทจ่ายเงินซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลกไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งนานแล้ว