ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 กันยายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ชายตาหาข้าวเปลือก |
เผยแพร่ |
การเข้าเฝ้าองค์ทะไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณของทิเบตที่พลัดถิ่นมาอยู่ที่ดารัมซาลา ประเทศอินเดีย เป็นเรื่องที่ถูกจัดสรรมาแล้ว หาใช่ความบังเอิญแต่อย่างใด
การได้นั่งเรียนธรรมะจากท่าน 4 วัน นอกจากจะได้ธรรมะ หลักการใช้ชีวิตแล้ว เรายังได้รับพลังแห่งความรักและเมตตาที่เรารู้สึก เห็นด้วยตา สัมผัสได้ด้วยใจอย่างเป็นรูปธรรม
เพราะถ้าจะถามว่าก้อนพลังงานแห่งความเมตตาที่เคลื่อนไหวได้และยังมีชีวิตอยู่ที่ทรงพลังที่สุดในโลกอยู่ที่ใด
ฉันบอกได้เลยว่าต้องมาที่นี่…
เมื่อการเรียนวันแรกจบลง ท่านต้องเสด็จกลับวัง คนที่มารอสองข้างทางต้องการใกล้ชิด เห็นท่านและได้สัมผัสสักครั้งในชีวิต
ฉันก็เช่นกัน พี่อู๋ วิงค์ วิงค์ หนุ่มใหญ่เจ้าของบริษัทโปรดักชั่นเฮ้าส์ชื่อดังเป็นคนทั้งผลักทั้งดันให้ฉันไปส่งเสด็จท่านในทำเลที่เหมาะสม
และเมื่อทุกคนมีจุดประสงค์เดียวกัน การเบียดเสียดจึงเกิดขึ้น พี่อู๋เห็นฉันเก้ๆ กังๆ และฝรั่งตัวใหญ่บังทาง เลยผลักและดันฉันจากข้างหลังให้ฉันได้ยื่นมือไปหาท่านได้ท่านท่วงที
และฉันก็ได้สัมผัสมือของท่านครั้งแรก!
มือท่านนุ่มและอบอุ่นมากค่ะ
(นิกายมหายาน พระสามารถโดนตัวผู้หญิงได้ค่ะ)
และในวันถัดมาฉันได้มีโอกาสได้ถือธูปนำขบวนเสด็จท่านจากวังมาที่วัด โดยมีตัวแทนจาก 5 ประเทศ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย เกาหลี สิงคโปร์
และพวกเราจะได้สัมผัสมือท่านก่อนเดินนำขบวน ความตื่นเต้นก็ยังคงไม่จางหายไปไหนค่ะ
แต่สิ่งที่ฉันสัมผัสได้มากกว่านั้นก็คือ ระหว่างทางที่ท่านกำลังเดินไป ฉันจะได้เห็นผู้คนจากทั่วสารทิศมารอตลอดสองข้างทาง
ฉันได้เห็นแววตาของคนที่เฝ้ารอท่าน ทั้งมีความหวัง ทั้งตื้นตันใจ
แววตาเหล่านั้นสะท้อนความรู้สึกและถ้อยคำมากมาย
แต่ฉันรู้ได้เลยว่า สักครั้งในชีวิตของพวกเขาขอเจอทะไลลามะสักครั้งก่อนตาย
คนที่แก่มากๆ ก็มานั่งรอตามบันได พอท่านเดินไปถึงก็จะช่วยประคองคนแก่เหล่านั้น คนไหนมีลูกก็จะอุ้มลูกชูขึ้นมาให้ท่านได้แตะหัวสักครั้ง
คนไหนมีเด็กเล็กๆ จะพยายามอยู่แถวหน้าให้ท่านได้เห็นชัดเจน และเมื่อท่านเจอพระรูปใดที่รู้จักหรือสนิท ท่านจะหยุดคุยและหยอกล้ออยู่นาน เช่น เขกหัว หยิกแขนเล่น ดึงหูบ้าง
เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างเสมอ
ฉันได้เห็นแววตาของพระทิเบตที่รอเข้าเฝ้าท่าน ทุกรูปนั่งอยู่กับพื้นพนมมือ ค้อมตัว เงยหน้าและมีแววตาที่มุ่งมั่น มีความหวัง นี่จะเป็นวินาทีที่จะได้พบท่านทะไลลามะสักครั้ง
ขอเพียงได้พบสักครั้ง…สักครั้งก็พอแล้ว
และเมื่อท่านสอนเสร็จ ฉันรอท่านตามทางเดินที่จุดเดิม แต่คราวนี้นั่งรออยู่หน้าสุด รอบตัวเต็มไปด้วยช่างภาพที่รอถ่ายภาพท่าน เบียดเสียด แต่ไม่มีใครลดละ และแล้วท่านก็เดินมาทางที่ฉันนั่งอยู่จริงๆ
ฉันได้สัมผัสมือท่านถึง 2 ครั้งเต็มๆ นำความปลื้มปีติใจยิ่งนัก รู้สึกได้รับพลังแห่งความเมตตาแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ฉันยืนน้ำตาคลออยู่ตรงนั้น
นอกจากท่านจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ประมุขทิเบตที่พลัดถิ่นออกจากประเทศตัวเองตั้งแต่อายุ 24 ปีเมื่อจีนเข้ามาบุกรุก ตอนนั้นมีชาวทิเบตที่อพยพมาอยู่อินเดียกับท่านประมาณ 8,000 คน นอกนั้นก็กระจัดกระจายไปยังประเทศต่างๆ
และเมื่อโลกมีเทคโนโลยีอย่าง facebook live วู้ดดี้ได้ไลฟ์กับท่าน ทำให้คนทิเบตที่จากบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองไปอยู่ยังประเทศต่างๆ ได้ดู
พวกเขาเข้ามาขอบคุณวู้ดดี้กันมากมาย
บางคนอยู่เนปาลอี-เมลมาบอกให้วู้ดดี้ให้ท่านพูดให้กำลังใจคนทิเบตที่นั่นได้ไหม ให้พวกเขาได้มีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไป
ดูเอาเถิด เรามีประเทศของตัวเองอยู่มันโชคดีแค่ไหน
ในวันสุดท้ายคณะเราได้พบกับท่านเป็นการส่วนตัวผ่านการนัดหมายจากวู้ดดี้ พวกเราตื่นเต้นดีใจมาก
พี่บางคนตีสามแล้วยังนอนไม่หลับ
นกเพื่อนของฉันเปลี่ยนชุดอยู่หลายรอบ ทุกคนหาชุดที่สวยที่สุดเพื่อไปพบท่าน เราตื่นเต้นกันมาก
คณะพระสงฆ์ไทยได้พบท่านก่อน ท่านพูดคุยอยู่นาน ฉันพยายามเงี่ยหูฟัง ท่านบอกว่า “พระพุทธเจ้าของเราท่านถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักปราชญ์ นักจิตวิทยาชาวอินเดีย ท่านทดลอง ลองผิดลองถูก ค้นหาคำตอบ เราเองก็ต้องทำเช่นนั้นเหมือนกัน อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ท่านบอก ท่านสอน ให้เราลองค้นหาคำตอบ ลองปฏิบัติด้วยตัวเองก่อน”
พี่ต่าย นิทรา คือคนแรกที่ได้พบท่าน เจ้าหน้าที่ของท่านเรียนท่านว่าพี่ต่ายไม่ค่อยสบาย มีปัญหาเรื่องกระดูก ท่านได้ยินดังนั้นก็กอดพี่ต่ายด้วยความรักและเมตตาอยู่พักใหญ่
ภาพที่เห็นทำให้ฉันตื้นตันใจอย่างที่สุด น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด
เรารู้เลยว่าพี่ต่ายได้รับพลังอย่างหาที่สุดไม่ได้
แล้วท่านก็ทักทายและสัมผัสทุกคน บางคนอยากให้ท่านเคาะหัว ท่านก็ทำให้
หลังจากได้พบท่าน พวกเราต่างปลื้มปีติจนน้ำตาไหลออกมาพร้อมกัน ยืนกอดกันแนบแน่นอยู่ตรงนั้น จนเจ้าหน้าที่ต้องขอเชิญให้ไปร้อง ไปกอดกันข้างนอก เพราะคณะอื่นจะเข้าพบต่อ
และก่อนกลับฉันก็ได้พบกับหนุ่มทิเบตวัย 24 ปี พวกเรานั่งคุยกันเรื่องธรรมะหน้าร้านกาแฟริมทางเดินในเมืองดารัมซาลา
เขาอายุน้อยแต่ลึกซึ้งและมุ่งมั่น
ฉันถามเขาว่าเคยเจอทะไลลามะไหม เขาบอกว่าไม่เคยพบแบบใกล้ชิด ครอบครัวเขาเป็นหนึ่งใน 8,000 คนที่อพยพมาพร้อมท่าน ตัวเขาเกิดในอินเดียแต่ขอถือสัญชาติทิเบตเพราะยังไงเขาก็รักประเทศของเขา
แต่ถึงเขาไม่เคยพบท่านแบบใกล้ชิด แต่ตราบใดที่เขาเคารพท่าน ศึกษาคำสอนและฝึกปฏิบัติอย่างที่ท่านบอก ทะไลลามะจะอยู่ในหัวใจของเขาเสมอ
และสิ่งที่เขาทำทุกวันนี้คือ เป็นคนดี ไม่ทำความชั่ว ถือศีล และปล่อยวางจากความโลภ
สุดท้ายเขาบอกอีกว่า “ทะไลลามะบอกด้วยว่าถ้าคุณลงมือปฏิบัติ แม้ไม่ได้โกนผม คุณก็เป็นพระได้”
สอดคล้องกับที่ท่านบอกในห้องเรียนเสมอว่า “จงเรียนรู้ ลงมือฝึกฝนปฏิบัติ และนำมันไปใช้ในชีวิตจริง” เรียบง่ายแบบนี้เองค่ะ…