ครบ10ปี รัฐประหาร’49 รอมาหนึ่งทศวรรษจาก “บิ๊กบัง”สู่”บิ๊กเจี๊ยบ” ได้เวลากู้ศักดิ์ศรี “รบพิเศษ”!

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ในขณะนั้น ได้ทำการยึดอำนาจรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ในห้วงสถานการณ์สุกงอม จากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

การรัฐประหารปี 2549 เกิดขึ้นโดยไม่มี “การนองเลือด” ถือว่าสำเร็จตามสูตรยึดอำนาจ แต่หนทางจากนั้น คือ การรักษาอำนาจเอาไว้ กลับยากกว่า

เมื่อ “บิ๊กบัง” ตัดสินใจไม่นั่งเก้าอี้นายกฯ เอง แต่ได้เชิญ “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ก่อนจะมีการร่างรัฐธรรมนูญจนผ่านประชามติ แล้วมีการเลือกตั้ง

แต่สุดท้าย เครือข่ายกลุ่มอำนาจเดิมก็กลับมาชนะการเลือกตั้ง ทั้งในนาม “พรรคพลังประชาชน” และ “พรรคเพื่อไทย”

ทว่า รัฐบาลเพื่อไทยที่นำโดย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็มีชะตากรรมทางการเมืองที่ไม่ต่างจากพี่ชาย คือต้องหลุดจากอำนาจด้วยรัฐประหารปี 2557 ของ คสช. ที่นำโดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในขณะนั้น

อันถือเป็น “รัฐประหาร” ครั้งที่ 18 ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย

นี่ส่งผลให้ “การเมือง-การทหาร” หนีจากกันไม่ได้ และนับจากยุค คสช. เข้ามามีอำนาจ การแต่งตั้งโยกย้ายทหารก็ทำได้สะดวกขึ้นกว่าสมัยรัฐบาลพลเรือน ที่ต้องมีการต่อรองเก้าอี้ในเหล่าทัพกับนักการเมือง

ในวันนี้ เมื่อย่างเข้าสู่ขวบปีที่สามในการครองอำนาจของ คสช. กลุ่มนายทหารที่เป็นแกนหลักของเหล่าทัพ ก็หนีไม่พ้น ตท.16 ทั้ง “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ว่าที่ ผบ.ทบ. “บิ๊กจอม” พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ว่าที่ ผบ.ทอ. “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ว่าที่ปลัดกระทรวงกลาโหม

ในส่วนของกองทัพบก ในฐานะกองทัพที่คุมขุมกำลังปฏิวัติ ต้องติดตาม ตท.20 ทั้ง “บิ๊กแดง” พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ว่าที่แม่ทัพภาคที่ 1 “บิ๊กณัฐ” พล.ท.ณัฐ อินทรเจริญ รอง เสธ.ทบ. “บิ๊กตู่” พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา ว่าที่แม่ทัพน้อยที่ 1 ซึ่งเป็นที่จับตาว่าทั้งหมดนี้ คือ แคนดิเดต ผบ.ทบ. ในอนาคต ต่อจาก “บิ๊กเจี๊ยบ”

แม้ว่าในห้วงเวลานี้ดูเหมือน “บิ๊กแดง” จะมีต้นทุนสูงกว่าคนอื่น ด้วยคอนเน็กชั่นส่วนตัว และแรงหนุนจากสายวงศ์เทวัญ รวมถึง ร.11 รอ. อย่าง “บิ๊กหนุ่ย” พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เพื่อนรักนายกฯ และ “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม คีย์แมนสำคัญของ คสช.

จากนั้น ก็คงถึงคิวของ ตท.22 ที่กำลังเบ่งบาน ทั้ง “บิ๊กหนุ่ย” พล.ต.ธรรมนูญ วิถี และ “บิ๊กติ่ง” พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ สองนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์ ที่ขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมกัน แถมยังเป็นสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

โดยนายพลรุ่นนี้จะเกษียณอายุราชการในปี 2564-2565

ที่สำคัญใน 5 เสือ ทบ. ยังมี “บิ๊กแกละ” พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร ขึ้นเป็น รอง ผบ.ทบ. “บิ๊กเข้” พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ขึ้นเป็น ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ทำให้มีนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์รายล้อม “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย ว่าที่ ผบ.ทบ. จากสายรบพิเศษ เต็มไปหมด

อย่างไรก็ดี นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่ทหารสายรบพิเศษผงาดขึ้นนั่งเก้าอี้เบอร์ 1 ของกองทัพบกอีกครั้ง ขณะเดียวกัน สายวงศ์เทวัญก็เริ่มคืนสังเวียน โดยมีสายบูรพาพยัคฆ์แทรกอยู่ในตำแหน่งหลักสลับกันไป

ทั้งหมดนี้เพื่อรับประกันว่ากองทัพจะไม่แตก หลังทหารสายบูรพาพยัคฆ์ครองเก้าอี้ ผบ.ทบ. มาอย่างยาวนาน และเพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่าการคลายล็อกครั้งนี้จะปลอดภัย ไม่มีแรงต้านในกองทัพ หรือไกลสุดคือ ไม่เกิดรัฐประหารซ้อน

ที่สำคัญ “บิ๊กเจี๊ยบ” นั้นเป็นนายทหารสายรบพิเศษรุ่นน้อง “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ ลูกรักของ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มาตั้งแต่ครั้งร่วมรบกันที่ชายแดนไทยกัมพูชา

เขาจึงถือเป็นนายทหารบ้านสี่เสาเทเวศร์ไปอีกคน

การผลักดันนายทหารรบพิเศษรายนี้ขึ้นเป็น 5 เสือ ทบ. ตั้งแต่คำสั่งโยกย้ายปี 2558 ย่อมสะท้อนว่ามีการปูทางให้ พล.อ.เฉลิมชัย มาแล้วแต่ต้น

ว่ากันว่าการขึ้นสู่ตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เมื่อปี 2558 ของ “บิ๊กเจี๊ยบ” ส่งผลให้ “บิ๊กตี๋” พล.อ.ปราการ ชลยุทธ์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ต้องข้ามฟากไปเกษียณที่กองบัญชาการกองทัพไทย ในตำแหน่งรองเสนาธิการทหาร แทนที่จะอำลาชีวิตราชการด้วยฐานะ 1 ใน 5 เสือกองทัพบก

เรียกได้ว่ามาแรงแซงโค้งตั้งแต่ปีที่แล้ว พอมาถึงปีนี้ พล.อ.เฉลิมชัย ก็แรงคูณสอง ด้วยการแซงหน้า “บิ๊กแกละ” พล.อ.พิสิทธิ์ ที่เป็นน้องรัก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร ผู้เติบโตมาในสายบูรพาพยัคฆ์และวงศ์เทวัญ

แต่หากวัดตามหลักอาวุโส “บิ๊กเจี๊ยบ” ตท.16 ก็อาวุโสกว่า “บิ๊กแกละ” ตท.17 นอกจากนี้ “บิ๊กเจี๊ยบ” ยังเกษียณปี 2561 หลัง “บิ๊กแกละ” หนึ่งปี

จึงมีการมองว่า พล.อ.เฉลิมชัย จะต้องรับหน้าที่เป็น ผบ.ทบ. ผู้คอยประคับประคองให้ห้วงเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2560 และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้นปี 2561 ดำเนินไปโดยไร้ตะเข็บรอยต่อมากที่สุด

ยิ่งกว่านั้น กองทัพยังต้องช่วยเป็นเสาค้ำให้รัฐบาลปัจจุบันและ คสช. ซึ่งการอาศัยแรงค้ำจากทหารสายบูรพาพยัคฆ์อย่างเดียวคงไม่พอ

นําไปสู่ปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” ได้นั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ. และ “บิ๊กแดง” ได้นั่งเก้าอี้ มทภ.1 เป็นโผทหารสลายขั้ว-กระจายสาย เพื่อให้กองทัพมีเอกภาพ

ที่น่าสนใจไม่น้อย คือ โผคราวนี้ มีทหารม้าได้ขึ้น 5 เสือ ทบ. ถึง 2 คน ได้แก่ “บิ๊กเปี๊ยก” พล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ 3 ว่าที่ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และ “บิ๊กต้อ” พล.ท.สสิน ทองภักดี รอง เสธ.ทบ. ว่าที่ เสธ.ทบ.

สอดคล้องกับที่นายทหารม้าคนสำคัญอย่าง “ป๋าเปรม” เคยกล่าวเอาไว้ เมื่อครั้งเปิดบ้านรับการอวยพรวันขึ้นปีใหม่ 2559 จากบรรดาทหารม้ารุ่นน้องว่า ให้ช่วยกันสนับสนุนและเชียร์ทหารม้า ให้ขึ้นเป็น 5 เสือ ทบ. กลาโหม และกองทัพไทย

เรียกได้ว่าโผทหารครั้งนี้ทำให้แสงส่องไปยังบ้านสี่เสาฯ อย่างปฏิเสธไม่ได้ แม้นายกฯ จะออกมาปกป้อง “ป๋าเปรม” ในฐานะผู้ใหญ่ของบ้านเมือง พร้อมยืนยันว่าการจัดทำโผทหารครั้งนี้ ตนเองพิจารณาร่วมกับ พล.อ.ประวิตร และ ผบ.เหล่าทัพ ไม่มีใครอื่นมาเกี่ยวข้อง ไม่มีการเลือกข้าง เพราะหวั่นกองทัพจะแตกแยก

อย่างไรก็ตาม มิอาจปฏิเสธได้ว่าทุกย่างก้าวของ “ป๋าเปรม” มีความสำคัญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองของ คสช. ที่จะต้องลงจากหลังเสือ

เมื่อ “ป๋าเปรม” เปิดบ้านรับการอวยพรในวันคล้ายวันเกิดอายุครบรอบ 96 ปี ก็สร้างความอุ่นใจในหมู่ คสช. มากขึ้น แต่กลับยิ่งทำให้กลุ่มต่อต้าน คสช. และรัฐบาล ต่างออกมาโจมตี พล.อ.เปรม

เพราะแม้ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการทำประชามติแล้ว สถานการณ์ทางการเมืองเหมือนจะนิ่งขึ้น แต่ “กลุ่มคลื่นใต้น้ำ” ก็ยังมีอยู่ ดังที่นายกฯ ชี้ให้เห็นว่ามี “สุนัขจะกัดผู้ใหญ่”

“ที่เขาบอกว่าเดินตามผู้ใหญ่สุนัขไม่กัด แต่วันนี้สุนัขจะกัดผู้ใหญ่ซะเยอะ มะรุมมะตุ้มผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ไม่รู้เป็นอะไรกัน เขาก็ทำงานกันแทบเป็นแบบตาย ปั่นป่วนไปเรื่อย ข้างหลังก็เสียหายไปหมด ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ดังนั้น การเลือก “บิ๊กเจี๊ยบ” ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ของนายกฯ จึงเป็นคำขอที่เป็นคำขาดต่อ “บิ๊กป้อม” ที่พยายามดัน “บิ๊กแกละ” ทั้งหมดนี้เพื่อให้ภารกิจของ คสช. ลุล่วงไปด้วยดี

การันตีได้จากเสียงยืนยันในทำเนียบรัฐบาลว่า “ยังไงนายกฯ ก็เลือกบิ๊กเจี๊ยบ” ที่แว่วดังมาตั้งแต่ก่อนจัดทำโผโยกย้าย

โผทหารครั้งนี้ แม้จะทำให้บารมีของ พล.อ.ประวิตร อับแสงลง แต่บารมีความเป็นพี่ใหญ่แห่ง คสช. ยังคงอยู่ เพราะน้องรักของ “บิ๊กป้อม” ยังเติบโตตามสายงานต่างๆ ในเหล่าทัพ และ “บิ๊กป้อม” ก็ไม่ปฏิเสธความเหมาะสมของ “บิ๊กเจี๊ยบ” พร้อมคอนเฟิร์มว่า เหมาะกับสถานการณ์ที่สุด

ถือเป็นห้วงเวลาอันแหลมคม ทั้งครบรอบ 10 ปี รัฐประหาร 2549 ที่ถูกมองว่า “เสียของ” และครบ 10 ปี ที่นายทหารสายรบพิเศษได้กลับมาผงาดอีกครั้ง หลังยุค “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ

“ทุกเรื่องผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าความเป็นทหารรบพิเศษจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ แต่ผมมีความตั้งใจ ทุ่มเท ที่จะทำงานให้กองทัพบกในช่วงระยะเวลาสุดท้ายของการรับราชการให้ดีที่สุด” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

ได้เวลากู้ศักดิ์ศรี สายรบพิเศษ แล้ว!!