เรื่องสั้น : ลูกชายแบทแมน (1)

หลังจากเมืองก็อทแธมกลายเป็นเมืองที่สงบ ไม่มีอาชญากรรมแล้ว พ่อกับแม่และผมก็ออกจากเมืองนั้นหาที่อยู่แห่งใหม่เพื่อช่วยเหลือชาวโลกที่ยังเดือดร้อนและตกอยู่ในอันตราย

เราเดินทางกันมาไกลราวครึ่งโลก ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าก็อทแธมไม่มีอาชญากรรมอย่างที่พ่อบอกจริงเหรอ ผมแทบไม่เชื่อเลยว่ามนุษย์ที่อยู่ร่วมกันจำนวนมากจะปราศจากความขัดแย้ง นอกเสียจากพวกเขาจะคิดเหมือนกันไปเสียทุกเรื่อง ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริงก็คงจะเป็นพลเมืองที่แปลกประหลาด

แต่ก็มีอีกเหตุผลหนึ่งที่พอเป็นไปได้ว่า พ่อกับแม่ของผมเป็นฮีโร่ที่ถนัดทำสงครามกับผู้ร้าย พอผู้ปกครองเมืองหาวิธีจัดการกับผู้ร้ายเองได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีฮีโร่อย่างพวกเราอีกต่อไป

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด พ่อกับแม่ก็ตัดสินใจออกมาจากก็อทแธมแล้ว

ที่สุดเราก็เลือกเมืองแห่งนี้ ขณะเรากำลังบินทะยานอยู่บนท้องฟ้าสำรวจเมืองในตอนกลางคืน ท่ามกลางแสงสลัวราง

คลื่นโซนาร์จากเลนส์ในดวงตาของพ่อจับความเคลื่อนไหวของบางสิ่งอยู่ด้านล่าง พบชายร่างกำยำกลุ่มหนึ่งมีทีท่าว่ากำลังจะทำร้ายหญิงสาวริมทางในซอยเปลี่ยว พ่อพุ่งทะยานลงไปยังคนกลุ่มนั้นทันที

แม่ซึ่งแบกผมไว้ที่หลังค่อยๆ ลดระดับลง และเมื่อขาของผมยืนอยู่บนพื้น ชายกลุ่มนั้นก็ถูกพ่อจัดการจนลงไปนอนกองที่พื้นแล้ว

แม่เข้าไปพยุงหญิงสาวผู้น่าสงสารให้ลุกขึ้น เสื้อเธอฉีกขาดที่หัวไหล่ กระโปรงเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยคราบฝุ่นและดินโคลนจากแอ่งน้ำ

หนึ่งในพวกคนร้ายชักปืนเล็งมายังพ่อ เสียงปืนดังเปรี้ยง กระสุนวิ่งเข้าชนหน้าอกพ่อแล้วกระเด็นไปอีกทาง คนร้ายรัวยิงอีกจนกระสุนหมด แต่ไม่ระคายชุดเกราะของพ่อเลยสักนิด พวกมันตกตะลึงหอบร่างสะบักสะบอมวิ่งหนีกระเจิง

แม่จ้องมองพวกมันวิ่งหายไปในความมืดแล้วยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็วิ่งกระโจนตามไปด้วยความปราดเปรียว สมกับเป็นแคทวูแมน ชั่วเวลาอึดใจเดียว แม่ก็กลับมาพร้อมกับพวกคนร้ายทั้งหก ผู้ชายร่างกำยำถูกมัดด้วยเชือกโดนลากมาตามพื้น เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บแสบเนื้อหนังที่ครูดกับพื้นซีเมนต์ดังระงม

ไม่นานรถตำรวจก็แล่นเข้ามา และก่อนที่พวกตำรวจจะทันมาเห็น ทั้งพ่อและแม่ก็ดึงแขนผมคนละข้างบินทะยานขึ้นฟ้า ผมหันไปมองพวกคนร้ายที่ยังมีอาการหวาดกลัวสุดขีดถูกพวกตำรวจหิ้วขึ้นรถ การถูกตำรวจจับน่าจะดีกว่าการต้องเผชิญหน้ากับอัศวินรัตติกาลเช่นพ่อของผม

หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายเงยหน้าโบกมือแล้วยิ้มให้พวกเราก่อนที่เธอจะไปกับตำรวจ ผมยิ้มตอบด้วยความรู้สึกยินดีที่เธอปลอดภัยแล้ว

พ่อเลือกเช่าห้องบนสุดของตึกสูง 99 ชั้นเป็นที่พักของเรา เพราะจะได้มองเห็นเมืองนี้ได้โดยรอบ หากเกิดอาชญากรรมที่ซอกมุมไหน ก็จะไม่พ้นหูที่สามารถจับเคลื่อนเสียงได้ในระยะไกลของแม่และสายตาที่สามารถตรวจจับได้ทุกความเคลื่อนไหวแม้ในที่มืดของพ่อไปได้

หลังเราขนข้าวของจัดวางเข้าที่เรียบร้อยแล้ว พ่อก็ออกสำรวจเมืองตอนกลางวันด้วยการขับเจ้า Tumbler ออกไป ส่วนผมก็ออกไปเช่นกัน แม่บอกให้ผมเอา Batbike มอเตอร์ไซค์รุ่นล่าสุดคันโปรดของพ่อออกไป แต่ผมปฏิเสธ

ผมอยากเดินสำรวจบ้านเมืองและผู้คนด้วยสองเท้าของผม เพราะการเคลื่อนที่ช้าจะทำให้เราเห็นทุกสิ่งได้ละเอียดชัดเจนกว่า

ในตอนกลางวันที่นี่อากาศร้อนร้ายแม้จะเป็นฤดูหนาว ผมน่าจะหยิบหมวกแก๊ปสวมมาด้วย ดีที่มีเสื้อเชิ้ตสวมทับเสื้อยืดไว้ ท่อนแขนจึงพ้นจากเปลวแดด

นึกเสียดายชุดเกราะตัวที่แอบถอดทิ้งที่ก็อทแธม คุณสมบัติพิเศษของมันอย่างหนึ่งคือสามารถทำให้อุณหภูมิใต้ชุดเกราะร้อนหรือหนาวก็ได้ แต่เพราะผมไม่อยากเป็นฮีโร่ จึงต้องตัดใจทิ้งมันไป

อีกอย่างหนึ่งที่เสียดายคืออาวุธพิเศษที่ซ่อนอยู่ในนั้นอีกหลายชิ้น ที่น่าจะปลดออกหรือไม่ก็ทำลายก่อนจะทิ้ง เพราะถ้าพวกคนร้ายไปเจอเข้า ก็อทแธมก็คงจะกลับมาวุ่นวายอีก แล้วพ่อกับแม่ของผมก็จะต้องกลับไป แต่ก็ดี ผมชอบที่นั่นมากกว่าเมืองร้อนอย่างที่นี่เสียอีก

นึกถึงตอนที่แม่รู้ว่าผมทิ้งเสื้อเกราะ แม่โกรธผมมาก พ่อเองก็เงียบขรึมจนผมไม่กล้าสบตา

ขณะเดินไปตามริมทางเท้า ยินเสียงชายหญิงคล้ายกำลังตะโกนใส่กัน ผมพยายามหันหาต้นทางของเสียง แล้วก็พบเข้ากับชายคนหนึ่งกำลังกระชากแขนของหญิงสาวจนเธอเสียการทรงตัวเกือบจะล้มลง หากแต่มือแข็งแรงของเขายังรั้งต้นแขนเธอไว้ไม่ให้ทรุดลงไป เธอร้องด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าบิดเบี้ยวแล้วกรีดร้องขึ้นอีก

ผมมองไปโดยรอบ เห็นคนยืนมุงดูอยู่หลายคน แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม ได้แต่ยืนมองพลางพูดคุยกันเองอย่างออกรส ผมอดรนทนไม่ไหวเดินปรี่เข้าไป บอกเขาให้พูดจากันดีๆ ไม่ควรทำกับผู้หญิงอย่างนี้

เขาหันมามองหน้า ถลึงตาใส่ผมขณะมือยังบีบเกร็งที่ต้นแขนเธอ

ผมลืมไปว่าผมใช้ภาษาที่เขาอาจฟังไม่เข้าใจ แต่หากปล่อยไว้อย่างนี้ กระดูกท่อนแขนเรียวเล็กของผู้หญิงคนนี้คงแหลกคามือเขาแน่ ผมประเมินความสูงและลำตัวของเขา ทั้งสูงและหนาใหญ่กว่าผม หากปะทะกันไม่เกินห้านาทีผมคงลงไปนอนกองที่พื้น ถ้าอย่างนั้นผมจะทำอย่างไรดี

แล้วจู่ๆ ผมก็นึกถึงแหวนคริปโตไนต์ที่พ่อให้ไว้ป้องกันตัว ขนาดคู่ปรับที่มีพลังพิเศษไม่แพ้พ่อยังรับมือกับแหวนวงนี้ไม่ไหว เจ้าผู้ร้ายที่รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้หรือจะรอด ผมกำมือข้างที่สวมแหวนแน่นแล้วชกไปที่ลำตัวของเจ้าหมอนั่น ตัวเขาลอยละลิ่วราวกับแผ่นกระดาษโดนลมหายวับไปจากสายตา ผมไม่รู้ว่าตัวเขาจะลอยไปตกที่ไหน แต่ก็ช่าง พวกคนร้ายสมควรแล้วที่จะถูกสั่งสอน

ผมหันมายังหญิงสาว เธอมีสีหน้าตกใจอ้าปากค้าง จนผมดีดนิ้วดังเป๊าะตรงหน้าเธอ เธอก็สะดุ้งรู้สึกตัว กะพริบตาถี่ๆ แล้วมองหน้าผมเหมือนพยายามนึก ที่สุดเธอก็ร้องออกมา

แรกเธอใช้ภาษาที่ผมไม่เข้าใจ ต่อเมื่อเห็นว่าผมยังยืนนิ่งเธอจึงรู้ตัวเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ นั่นทำให้ผมรู้ว่าเธอคือผู้หญิงคนที่พ่อกับแม่ของผมเคยช่วยไว้ที่ซอยเปลี่ยวกลางดึกที่ผ่านมา เธอกระโจนเข้าเกาะแขนผมอย่างดีใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก ซ้ำบอกว่าเธอทั้งตื่นเต้นและไม่คาดฝันว่าจะมีฮีโร่มาที่เมืองนี้ เธอขอบคุณผมซ้ำๆ ที่ช่วยเหลือจนรู้สึกเก้อเขิน

ผมถามถึงชายคนที่ทำร้ายเธอ เธอว่าเขาคือแฟนเก่าซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นจบไปแล้ว หากแต่เขาไม่ยอม ผมพยักหน้ารับ พยายามไม่ออกความเห็น

แต่ต่อมาเรื่องส่วนตัวของเธอหลายเรื่องก็ถูกถ่ายทอดเข้ามาสู่กลางใจของผม ผมรู้สึกสงสารเมื่อรู้ว่าเธอถูกเอารัดเอาเปรียบและโดนรังแก ความสัมพันธ์ของเราก้าวหน้าไปมากในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมคิดว่าเธอเองก็คงพอรู้ว่าผมรู้สึกยังไง และผมก็รู้จิตใจเธอจากความสามารถพิเศษของผมที่อ่านใจคนได้ เป็นความสามารถที่แม้กระทั่งแม่ของผมก็ไม่รู้

อย่างที่บอก ผมไม่อยากเป็นฮีโร่เหมือนพ่อกับแม่ ดังนั้น ผมจึงปิดบังความสามารถพิเศษต่างๆ ที่มีไว้กับตัว

เธอเอ่ยปากขอไปที่บ้านผม อยากไปขอบคุณพ่อกับแม่ผมด้วยตัวเองสักครั้ง ผมไม่แน่ใจนักว่าแม่จะคิดอย่างไรกับการพาผู้หญิงเข้าบ้านตั้งแต่วันแรกที่มาถึง แต่ผมก็ตอบตกลงโดยดี ผมไม่กล้าปฏิเสธรอยยิ้มที่น่ารักของเธอหรอก และในเวลาต่อมา เมื่อผมเปิดประตูห้องเชิญเธอเข้าไป แม่ของผมซึ่งกำลังง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างที่โซฟาก็หันมามองค้าง จ้องหน้าหญิงสาวราวกับกำลังระวังภัยจากผู้บุกรุก ผมต้องรีบแนะนำเธอกับแม่

เมื่อแม่นึกย้อนกลับไปซึ่งดูเหมือนจะจำเธอได้ก็ยิ้มออกมา ผมรู้สึกโล่งอกที่แม่ต้อนรับเธออย่างดี หญิงสาวชวนแม่คุยหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือชุดที่แม่กำลังตรวจเช็กทุกตารางนิ้วอยู่ เมื่อแม่บอกกับเธอว่าเป็นชุดเกราะตัวใหม่ของผม หญิงสาวกรีดร้องแล้วพูดชื่นชมด้วยความตื่นเต้น ราวกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตที่ชาตินี้อาจไม่มีโอกาสได้เห็น ผมลอบถอนหายใจมองชุดนั้นอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย

“ชุดนี้มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนของพ่อเลยนะ ปรับปรุงจากรุ่นที่แล้วสามารถเหาะได้ระยะไกล ไม่ใช่แค่ร่อนลงได้เหมือนรุ่นก่อน”

“ถอดชุดเกราะออกแล้วเราก็เป็นคนธรรมดานั่นแหละครับแม่”

แม่มองค้อนผมคล้ายจะฝากไว้ก่อน แล้วหันกลับไปคุยกับหญิงสาวต่ออย่างออกรส ครู่ต่อมาคล้ายมีใครสักคนกระโจนเข้ามาทางระเบียง เป็นพ่อนั่นเอง หญิงสาวหันไปมองพ่ออย่างตกตะลึง ผมไม่แปลกใจหรอกที่เธอมีท่าทีเช่นนั้น ในชุดแบทสูท สาวคนไหนเห็นเข้าก็ต้องตกตะลึงทั้งนั้น

ผมกระแอมดังขึ้น เธอสะดุ้งพลันหันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนหวาน

พ่อไม่ได้สนใจแขกของผมนัก ทรุดตัวนั่งอย่างหัวเสีย แม่ถามไถ่ถึงได้รู้ว่าขณะพ่อออกไปสำรวจเมืองก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น รถของเจ้าหน้าที่ตำรวจราวห้าคันขับประชิดตามหลังรถพ่อแสดงท่าทีคล้ายต้องการให้จอด พ่อชะลอความเร็วแล้วชิดริมทาง พวกเขากว่าสิบคนกรูเข้ามาแล้วแจ้งให้ลงจากรถ พ่อทำตามอย่างไม่ขัดขืน

พวกเจ้าหน้าที่แจ้งว่ารถ Tumbler ของพ่อผิดกฎระเบียบของเมือง เพราะลักษณะคล้ายรถถัง ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิดกับเจ้าหน้าที่และพลเมืองได้ และหากเกิดการปะทะกันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ พ่อแย้งว่านี่คือรถประจำตัวของพ่อ ซึ่งใช้ตอนอยู่อีกเมืองหนึ่งก่อนจะย้ายมาที่นี่ พ่อบอกข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตนว่านอกจากเป็นพลเมืองดีแล้ว ยังช่วยชาวโลกให้พ้นจากอันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วย พวกเขาว่าเขารู้จักชื่อเสียงของพ่อดี แต่ก็ต้องทำตามกฎ

“ขนาดบอกว่าเป็นใครยังถูกจับอีกนะคะ” หญิงสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นเดือดเป็นร้อนแทน

“ถึงจะเป็นฮีโร่ แต่เราก็ต้องอยู่ใต้กฎหมายจ้ะ” แม่พูดกับหญิงสาว

“แล้วพวกเขาทำยังไงต่อครับ” ผมถามพ่อด้วยความอยากรู้

“เขาก็ยึดรถไว้ แล้วปล่อยตัวพ่อมา” พ่อพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด

ผมนึกแปลกใจในคำอธิบายของเจ้าหน้าที่ที่พ่อบอกเล่าให้เราฟัง ทุกสิ่งที่มีในสัญลักษณ์หรือต้องสงสัยว่าจะเป็นปรปักษ์ต่อเมือง ต่อความสงบเรียบร้อย จะต้องถูกยึดไว้หมด ทั้งที่เราก็รู้กันแก่ใจว่ารถคันนั้นเอื้อประโยชน์ต่อความสงบเรียบร้อยของเมืองนี้เสียด้วยซ้ำ แต่กลับถูกตีความออกมาอย่างไม่ไว้ใจกัน