วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์/สู่ร่มกาสาวพัสตร์ การตัดสินใจของจงจิต

วางบิล

เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

การตัดสินใจของจงจิต

อาหารมื้อนั้น แม้มีเสียงพูดคุยสนุกสนานตามปกติ สลับกับการคุยถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาของปานให้กับผู้อยู่ทางนี้ฟัง กระนั้น ในความรู้สึกของ ปาน จงจิต และมนวิไล กลับไม่สนิทใจนัก ดูจืดเจื่อนในบางขณะที่ใครคนใดคนหนึ่งเผลอตัว แล้วรีบกลบเกลื่อน
เสร็จจากอาหาร ปานขอตัวขึ้นข้างบน ปฏิเสธการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อ้างว่าอิ่มแล้วง่วง “หนังท้องตึงหนังตาหย่อน” เขาบอกไปอย่างนั้น “ผมขอหลับสักงีบ”
“เชิญตามสบายเพคะ คุณชาย” มนวิไลพูดล้อ
ปานหัวเราะรับ เมื่อขึ้นไปข้างบนแล้ว เขากลับส่งเสียงดังลงมาข้างล่าง ไม่เจาะจงว่าบอกกับใคร “สักบ่ายสามโมงถ้าผมยังหลับ ปลุกด้วยนะครับ ผมอยากไปเดินเล่นริมแม่น้ำมูลตอนเย็น อย่าลืมล่ะ”
“นั่นสั่งใครน่ะ” มนวิไลแกล้งถาม
“ใครก็ได้ที่ไม่ลืม” ปานตอบแล้วบ่นพึมพำสองสามคำก่อนเอนตัวลงนอนริมระเบียงเหมือนทุกครั้งที่มาบ้านนี้ ห้านาทีจากนั้น เสียงหายใจเบาสม่ำเสมอของปานก็ดังขึ้น

หลังเก็บจานชามล้างเรียบร้อย มนวิไลปล่อยให้จงจิตอยู่ตามลำพัง เธอขอตัวออกไปซื้อของที่ตลาดสำหรับอาหารมื้อเย็น “ถ้าคุณปานตื่นก่อนจะไปเดินเล่นริมแม่น้ำก็ตามใจนะ ไม่ต้องรอ พี่จะแวะบ้านครูใหญ่ด้วย เย็นนี้ต้องเชิญครูใหญ่กับพี่สมมากินข้าวด้วยกัน ไปกินบ้านเขามาหลายมื้อแล้ว”
ครู่นั้น จงจิตพยายามเดินให้เบาที่สุดขึ้นไปข้างบนเข้าไปในห้อง เปิดลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งหยิบกล่องเก็บเครื่องประดับออกมาเปิด หยิบกล่องแหวนเปิดออก แล้วค่อยๆ หยิบแหวนทองเกลี้ยงหัวพลอยแดงออกมาดู บรรจงจูบลงบนหัวแหวน สวมเข้าในนิ้วนางข้างขวา แล้วเบิ่งดูด้วยความรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก
– แม่ให้ไว้นานแล้ว ผมเคยสวมเมื่อครั้งรุ่นๆ ก่อนถอดออกเก็บไว้ ตั้งใจว่า จะสวมให้กับผู้หญิงที่ผมรักและรักผม – ปานบอกกับเธอหลังจากเขาและเธอต่างเข้าอกเข้าใจกันดี เมื่อแรก ปานเป็นผู้สวมให้เธอในนิ้วนางข้างซ้าย นัยว่าเป็นแหวนหมั้นอย่างไม่เป็นทางการ แต่ด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย – เขากับเธอ ซึ่งปานเองพอใจเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นานเธอขออนุญาตย้ายมาสวมนิ้วนางข้างขวา โดยให้เหตุผลว่าเป็นความต้องการของแม่ ด้วยไม่ต้องการให้ใครเข้าใจผิด ปานเองไม่ขัดข้อง – สวมนิ้วไหนก็ได้ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่นิ้ว แต่อยู่ที่แหวนวงนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของเราทั้งสองคนต่างหาก – ดูเขาช่างมั่นอกมั่นใจและจริงจังต่อความรักที่มีต่อเธอเสียเหลือเกิน ซึ่งผิดกับเธอ ในหลายครั้งยังสงสัยตัวเองไม่วายว่า รักปานจริงหรือ หรือเพราะต้องการสิ่งทดแทนความรักที่ต้องสูญเสียไป
เธอค่อยบรรจงถอดแหวนออก เก็บใส่กล่องตามเดิม ใส่กระเป๋าเล็กติดตัว แทนที่จะเป็นกล่องเครื่องประดับ
จงจิตพยายามคิดถึงการตัดสินใจของตัวเอง ทบทวนบางอย่าง ความรู้สึกเมื่อพบปานวันนี้ เหมือนกับว่าเห็นนักโทษเดินเข้าสู่หลักประหารอย่างไม่รู้ตัว เขายังคงร่าเริงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
แต่เมื่อนึกถึงอากัปกิริยาที่ตัวเองแสดงออกขณะอยู่ด้วยกันสองคนตามลำพัง เธอรู้ว่าปานต้องพอคาดคะเนอะไรได้บ้างจากความรู้สึกนั้น เขาเป็นคนที่มีความรู้สึกรับรู้ต่อการเปลี่ยนแปลงได้ไว จนทำให้เธออดหวั่นไหวไม่ได้ แต่การเก็บกดความรู้สึกแสดงออกของเขาต้องนับว่าดีมาก หากเธอไม่รู้จักเขามาก่อนอย่าง – คนเราที่มีจิตใจผูกพันต่อกันมากๆ บางครั้งไม่ต้องเอ่ยปากก็รู้เรื่อง เพียงมองตากันเท่านั้น – เขาบอกเธอหลายครั้งเมื่อมีเหตุการณ์ที่เธอรู้สึกไม่สบายใจเข้ามาแผ้วพาน
จงจิตพยายามสลัดความรู้สึกนึกคิดออกไปจากจิตใจ เธอคิดว่าถึงอย่างไร วันนี้ต้องทำอะไรสักอย่างลงไปให้ด็ดขาด แม้จะปวดร้าวสักเพียงใดก็ตาม

ลมบ่ายพลิ้วมาแผ่วเบา เสียงนกจ้อกแจ้กร้องรับเป็นคู่ บางเสียงคล้ายกับการสนทนาโต้ตอบคำถามซึ่งกันและกัน บ้างเหมือนกับการตัดพ้อต่อว่า
เธอมองหน้าตัวเองในกระจก แล้วคำถามสารพัดพรั่งพรูออกมาสับสนจับต้นชนปลายไม่ติด พยายามลำดับความคิดให้เข้าที่เข้าทาง พยายามตัดใจว่า ถึงอย่างไรเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้นสักวันหนึ่งข้างหน้า ไม่นาน เมื่อถึงวันนั้น บางสิ่งบางอย่างอาจจะสายเกินไปก็ได้
เธอไม่ต้องการให้ปานถลำตัวมากไปกว่านี้
จงจิตนั่งคิดกลับไปกลับมาถึงการเริ่มต้นคำพูด คำถาม คำตอบ เหตุผล ความจำเป็น และเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เธอต้องตัดสินใจ คิดแล้วคิดอีก บางความคิดไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ทั้งที่เธอเองไม่มั่นใจว่าจะทำได้เพียงไร เมื่อถึงเวลานั้นมาถึงเข้าจริงๆ อาจปล่อยให้ผ่านไปเหมือนครั้งก่อนๆ ก็เป็นได้
เธอตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ จะว่าเธอไม่รักปานก็ไม่ใช่ หรือว่ารัก ยังบอกตายตัวไม่ได้เช่นกัน หากสัญชาตญาณบางอย่างบอกตัวเองว่า เธอไม่เหมาะที่จะแต่งงานกับเขา

ปานพลิกตัวแล้วหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน เธอพยายามระงับใจให้สงบ สำรวจใบหน้าตัวเองในกระจกอีกครั้ง ยิ้มเพื่อไม่ให้ร่องรอยกังวลหลงเหลือ แล้วลุกออกมานอกห้อง
“กี่โมงแล้วครับนี่” ปานแหงนหน้าขึ้นมองแล้วลุกนั่ง “อื่อม์ ค่อยสบายขึ้นหน่อย” พูดขึ้นโดยไม่รอฟังคำตอบของคำถามแรก ง่วนกับการเปิดกระเป๋าการบินรื้อค้นผ้าเช็ดตัว กับแปรงสีฟันออกมา “พี้ดไปไหนครับ”
“ตลาดค่ะ” จงจิตตรงเข้าไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่เขานอนอ่านขึ้นวางไว้บนโต๊ะ “เห็นว่าจะแวะบ้านครูใหญ่ด้วย… เดี๋ยวคุณจะไปเดินริมแม่มูลไม่ใช่หรือ”
“เออ จริงซิ รอผมเดี๋ยวนะ ล้างหน้าล้างตาก่อน น้ำเอาไว้อาบตอนเย็นก็ได้” ปานว่าแล้วเดินลงบันไดไปที่ห้องน้ำ เสียงแปรงฟันเร่งรีบ เสียงตักน้ำรดล้างหน้า เสียงไล่เสมหะ เสียงเรอเอ้อ ดังตามๆ กันมาจนเสร็จสิ้นขบวนความไม่เกินห้านาที ปานก็สีหน้าสดชื่นออกมา เอาผ้าเช็ดตัวพาดตากไว้กับราวใต้ถุน
สวมรองเท้าเสร็จ เขากับเธอพากันเดินมุ่งหน้าไปริมแม่น้ำมูล “ใส่กุญแจห้องแล้วหรือ” ปานถาม
“ค่ะ” จงจิตตอบเพียงเท่านั้น แม้ว่าเขาพยายามชวนคุยถึงหลายเรื่อง ถามสารทุกข์สุกดิบของใครต่อใครที่รู้จัก เธอตอบมั่งไม่ตอบมั่ง ซึ่งเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
“เฮ้อ… สบายจริงตรงนี้” ปานปรารภอย่างเคย แหงนหน้ากางแขน สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด “ผมอยากมีบ้านตรงนี้สักหลัง แต่คงไม่มีโอกาส”
น้ำเสียงประโยคหลังเจือปนความผิดหวังอย่างตั้งใจ