เปิดบันทึกเจตจำนง “พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค” กับอุดมการณ์เพื่อชาติ ตราบสิ้นลมหายใจ

“พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ยอมสละชีวิตของท่านเพื่อจุดประกายความคิดของปวงชนร่วมมือกันผลักดันให้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดเรื่องระบบการขนส่งของประเทศ ส่วนที่ท่านตัดสินใจพุ่งร่างจากความสูง 7 ชั้น เพื่อให้เกิดแรงสะเทือนเลื่อนลั่นไปสู่สังคมและทั้งโลกว่าชายชาติอาชาไนยอย่างท่านยอมใช้หยดชีวิตสุดท้ายของท่าน เพื่อความมั่นคงของชาติ และผลประโยชน์ของคนไทยทุกคน ทั้งๆ ที่ท่านตระหนักดีว่าสิ่งที่ท่านทำจะสร้างความเศร้าโศกกับลูกหลานที่รักของท่านเพียงใด ท่านมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และกรุ่นไปด้วยอุดมการณ์จนลมหายใจสุดท้ายหายเลือนไปจากร่าง ด้วยความหวังว่าแรงสะเทือนนี้จะมีผู้สืบสานความฝันของท่านให้เป็นจริงจากความรับรู้และความร่วมมือของปวงชนชาวไทย”

ความตอนหนึ่งที่ครอบครัวบุนนาค เขียนคำขึ้นต้นในเอกสารเจตจำนงของ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค แจกจ่ายในงานสวดพระอภิธรรมศพ พล.ต.อ.สล้าง อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เจ้าของฉายามือปราบเสือใต้ ที่ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองในวัย 81 ปี พร้อมจดหมายสั่งเสีย ฝากไว้ให้คนรุ่นหลัง

การสูญเสียอดีตนายตำรวจมือปราบประวัติก้อง ฝากผลงานสร้างประวัติศาสตร์ เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค เกิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2480 ที่ อ.เมือง จ.ราชบุรี เส้นทางสีกากีในตำแหน่งที่สำคัญ ได้แก่ ผู้บังคับการตำรวจภูธร 12 ผู้บัญชาการศึกษา ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ และรองอธิบดีกรมตำรวจ ฝ่ายป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ

สมัย พล.ต.อ.สล้าง ยังรับราชการ ไม่มีใครไม่รู้จักนายตำรวจ สิงห์เหนือ พล.ต.อ.ชลอ เกิดเทศ และเสือใต้ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค

ชีวิตราชการโลดแล่นอยู่แดนใต้ อยู่กองปราบปราม และมีชื่อเสียงทั้งบวกและลบในการนำทีมคอมมานโดปฏิบัติการในช่วง 6 ตุลาคม 2519 เป็นมือทำคดีโกโหลน มือวิสามัญโจ ด่านช้าง

เพื่อนร่วมรุ่น นรต. รุ่น 14 เล่าเป็นเสียงเดียว พล.ต.อ.สล้าง คือคนเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ใจถึงพึ่งได้

ไม่ใช่คนเรียนเก่งที่สุดในรุ่น แต่เป็นคนหนึ่งที่เป็นความภูมิใจที่สุดในรุ่น

ประสบความสำเร็จในชีวิตราชการจนติดยศ พล.ต.อ. เป็น รอง อ.ตร. ที่ยอมเปิดทางอย่างเป็นสุภาพบุรุษให้กับคนอื่น

พล.ต.อ.สล้าง จึงมีตำแหน่งสูงสุดที่รอง อ.ตร.

เมื่อเกษียณก็ได้ออกมาโลดแล่นในสายการเมือง เป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภา

สมัยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.สล้างประกาศนำกองกำลังยึดทำเนียบคืน

อีกเรื่องที่ พล.ต.อ.สล้าง สนใจ จุดประเด็นมาตั้งแต่ยังเป็นรอง อ.ตร. คือ การคมนาคม โดยเฉพาะรางรถไฟ กลายเป็นประเด็นฝากไว้ในลมหายใจสุดท้าย ที่คัดค้านรถไฟรางคู่ขนาด 1 เมตร และเรียกร้องให้ผลักดันสร้างถนนออโต้บาห์น พร้อมกำชับให้ลูกหลานเผยแพร่เอกสารเพื่อขับเคลื่อนแนวคิดต่อ

 

เอกสาร “เจตจำนงของ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค” ที่เผยแพร่โดยลูกหลาน เขียนไว้หลายบทตอน ใจความสำคัญ

ดังนี้

“พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ได้รับทุนจาก USOM เมื่อปี พ.ศ.2515 ให้ไปดูงานการแก้ไขปัญหาจราจรและระบบขนส่งมวลชน ท่านได้นำเสนอโครงการจัดการแก้ไขปัญหาจราจรอย่างตรงประเด็นที่ได้ไปศึกษาดูงานมา ต้องพัฒนาควบคู่กันไปทั้งเมืองบริวารทางรถไฟและถนน ซึ่งไทยได้มีแบบแผนที่เป็นสากลตามมาตรฐานของเยอรมนีอยู่แล้ว เริ่มต้นจากการสร้างแบบแปลน (Master Plan) ที่มีเป้าประสงค์ชัดเจน มิใช่แปรเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มีองค์กรบริหารองค์กรเดียวในการศึกษาวิเคราะห์ วางแผนโดยไม่จ้างที่ปรึกษาซ้ำซ้อน

“นับจากนั้นมาท่านได้ทุ่มทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ส่วนตัวเพื่อนำเสนอแนวพัฒนาระบบขนส่งที่เป็นสากล โดยรวบรวมนักวิชาการ วิศวกรที่มีประสบการณ์ทางด้านการคมนาคมมาช่วยวิเคราะห์ แก้ข้อผิดพลาด ขจัดข้อจำกัด เพื่อเปลี่ยนแผนการพัฒนาที่หลงทิศหลงทาง จากการศึกษาที่มีข้อมูลผิดพลาด เพื่อนำมาสู่การจัดการบริการขนส่งมวลชนสาธารณะที่เป็นสากล เน้นการขนส่งระบบรางที่ถูกแช่แข็งมานานจากความเห็นแก่ตัวของนายทุนที่ทุ่มเทสร้างถนน เพื่อรองรับการค้ารถยนต์ซึ่งพุ่งสูงในยุคหลังสงครามเย็น และที่สำคัญยิ่งยวดคือการเปลี่ยนขนาดรางรถไฟทั่วประเทศจากรางแคบขนาด 1 เมตร (Meter Gauge) ให้เป็นขนาดมาตรฐาน 1.435 เมตร (Standard Gauge)”

“สรุปสิ่งที่ท่านใฝ่ฝัน ปรารถนาให้ไทยมีแผนการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่เป็นสากล และท่านทุ่มเทตลอดค่อนชีวิตที่เหลือของท่านเพื่อสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงให้ชาติ รวมทั้งสร้างความสะดวกสบายในการเดินทางของประชาชนที่ถือเป็น Priority ของการพัฒนามี 2 ประการดังนี้

“1.ระงับการสร้างต่อรางขนาด 1 เมตร (Meter Gauge) รางขนาด 1 เมตร เป็นรางแคบล้าสมัย ด้อยเสถียรภาพและความปลอดภัย การจัดซื้อรถไฟเพื่อใช้กับรางขนาดนี้ก็ยากลำบาก เพราะต้องผลิตตามคำสั่ง ค่าใช้จ่ายสูงเกินความจำเป็น การยังคงใช้รางแคบนี้จะทำให้ประเทศเชื่อมต่อกับใครไม่ได้ เพราะในระบบสากลเขาใช้ขนาดมาตรฐานกันทั้งนั้น อีกทั้งยังขัดแย้งกับพันธกรณีที่ไทยได้ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551 ในการร่วมมือของรัฐบาลรวม 28 ประเทศ ในเอเชียและยุโรปที่จะสร้างเครือข่ายทางรถไฟสาย Trans Asian ของสหประชาชาติระยะทาง 111,000 กิโลเมตร ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างราง 1.435 เมตร (Standard Gauge) เพื่อรองรับรถไฟสายคุนหมิง-สิงคโปร์ สายกลางผ่านทางลาว สายใหม่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ One Belt One Railway ที่พูดถึงในปัจุบัน การคงไว้ซึ่งการสร้างรางแคบจะเป็นการสูญเปล่าอย่างน่าเสียดายยิ่ง

“2.ระงับโครงการรถไฟฟ้ายกระดับในเขตเมืองทุกสาย อารยประเทศไม่สร้างรถไฟฟ้ายกระดับในเมือง เพราะบดบังทัศนียภาพของเมือง เนื่องจากเป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิตของผู้คน สร้างผลกระทบทางอากาศ สร้างมลภาวะทางสายตา และข้อสำคัญหากเกิดอัคคีภัยขึ้นจะดับไฟได้ลำบากมากเพราะรถดับเพลิงวางฐานค้ำยันเข้าไปดับไฟไม่ได้เพราะติดทางรถไฟ และเป็นการฝ่าฝืนมติ ครม. วันที่ 17 พฤษภาคม 2539 ที่กำหนดให้การก่อสร้างรถไฟฟ้าในพื้นที่ชั้นในรัศมี 25 ตร.ก.ม. และพื้นที่ชั้นนอกรัศมี 87 ตร.ก.ม. “ต้องลงใต้ดิน”

“พล.ต.อ.สล้าง มีความวิตกกังวลกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่ผิดทิศผิดทาง ทำให้ไม่สามารถขจัดปัญหาจราจรได้ เพราะไม่มีการต่อเชื่อมในลักษณะ Door To Door แบบสากล เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า มี Hidden Agenda ในการจัดทำแผนงานที่ทำไปเพื่อผลประโยชน์ของนายทุน และการสร้างสถานีบางซื่อให้เป็นศูนย์กลางระบบขนส่งเป็นการผิดหลักสากล ที่จะย้ายสถานีออกไปอยู่นอกเมืองหมด ในอนาคตบางซื่อจะเป็นบริเวณที่มีสภาวะจราจรติดขัดแบบวงแหวนที่เลวร้ายที่สุด อีกทั้งการสร้าง Local Road บนไหล่ทางรถไฟจะเป็นการทำลายกิจการรถไฟอย่างถอนรากถอนโคน เพราะจะไม่มีที่ดินสร้างสถานีรถไฟ ที่จอดรถ และไม่สามารถขยายเส้นทางรถไฟในอนาคต จะสร้างได้ก็เพียงความมั่งคั่งให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นายทุนเท่านั้น”

 

“พล.ต.อ.สล้าง ได้ทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจ เพื่อผลักดันให้ข้อเสนอของท่านเปลี่ยนโครงการผู้รับเหมามาสู่การจัดการบริการขนส่งมวลชนสาธารณะที่เป็นสากล เพื่อความมั่งคั่งและมั่นคงของภูมิภาค ท่านยอมแลกแม้ชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งความฝันของท่านที่จะสร้างอนาคตของชาติที่สามารถทำได้เพียงใช้ระบบการบริหารที่ฉลาด ทันสมัย และโปร่งใส หลีกเลี่ยงการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า ซ้ำซ้อน เพียงเพื่อให้ผลประโยชน์ต่อกลุ่มทุนที่รวมตัวกัน แบ่งสันปันส่วนอย่างไร้จิตสำนึก

“พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค เรียกร้องให้ผู้มีอำนาจทบทวนแผนงานทั้งหมดให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง ในฐานะของคนไทยที่รักชาติคนหนึ่ง มิใช่ในฐานะของอดีตนายตำรวจ ท่านปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้คนไทยตาสว่าง ตระหนักในข้อผิดพลาดของการบริหารจัดการ ด้านขนส่งมวลชนสาธารณะ และร่วมกันแก้ไขข้อผิดพลาดเพื่อให้ประเทศของเราเจริญมั่งคั่งจากทรัพยากรของชาติที่บรรพบุรุษจัดสรรไว้ให้อย่างสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ของคนไทยทุกคน มิใช่สร้างความมั่งคั่งให้แก่กลุ่มนายทุนเดิมๆ เท่านั้น”

เป็นเจตจำนงของ พล.ต.อ.สล้าง นายตำรวจผู้ฝากผลงานไว้มากมาย ที่เอาชีวิตตัวเองเข้าแลกเพื่อหวังเป็นประกายความคิด นำสู่การเปลี่ยนแปลง!!